มหัศจรรย์อินเดีย กับ 8 เมืองสวยหลากสีแห่งราชสถาน
ราชสถาน(Rajasthan) หรือบางท่านอาจเรียกราชาสถาน เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ตั้งอยู่บริเวณทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นรัฐที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ราชสถานมีเมืองที่น่าสนใจมากมาย แต่ละเมืองมีเอกลักษณ์ และเสน่ห์เฉพาะตัว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Rajasthan เป็นที่นิยมมากของนักท่องเที่ยวชาวไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ที่หลั่งไหลมาเยี่ยมชมรัฐแห่งนี้เพื่อสัมผัสกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมอันงดงามของรัฐ
ถ้าคนที่เริ่มต้นไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยเมืองโตเกียว ราชสถาน(Rajasthan) ก็น่าจะเป็นจุดหมายต้นๆ ในช่วงเวลานี้ของคนที่เริ่มต้นไปเที่ยวอินเดียครั้งแรก การจะไปเที่ยวให้ทั่วราชสถาน มีเวลา 4-5 วันคงไม่พอ เพราะอย่างที่เขียนไว้ตอนต้นว่า Rajasthan เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปเที่ยวในแถบนี้ก็คงต้องวางแผนให้เหมาะสมกับเวลาที่มี หากมีเวลาน้อยก็ค่อยๆ เก็บเมืองที่อยากเที่ยวที่สุด หากมีเวลามาก ก็ไปให้ครบทุกเมืองที่อยากไป บทความท่องเที่ยวอินเดีย นี้ ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ จะพาเพื่อนๆ ไปสำรวจความ มหัศจรรย์อินเดีย กับ 8 เมืองสวยหลากสีแห่งราชสถาน
1. Jaipur(จัยปูร์ หรือ ชัยปุระ) เมืองสีชมพู ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมอันงดงาม
เมืองแรกที่ ฟรีเบิร์ดทัวร์ จะพาไปคือเมือง จัยปูร์ หรือชัยปุระ(Jaipur) เมืองแห่งสีสัน และวัฒนธรรม ชัยปุระ(Jaipur) เป็นเมืองหลวงของรัฐราชสถาน และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐ เมืองนี้มีชื่อเสียงในเรื่องพระราชวัง และป้อมปราการที่สวยงาม รวมถึงตลาดที่เต็มไปด้วยความคึกคัก มีสีสัน และมีชีวิตชีวา และเป็นเมืองที่เหมาะสำหรับการสัมผัสวัฒนธรรมอินเดียแบบดั้งเดิม
ที่มาของคำว่า นครสีชมพู
จัยปูร์ หรือ ชัยปุระได้รับสมญานามว่า "นครสีชมพู" เนื่องจากอาคารบ้านเรือนในเมืองส่วนใหญ่ทาด้วยสีชมพูอ่อน อาคารต่างๆ ในชัยปุระ ทาด้วยสีชมพูเนื่องจากมีความเชื่อว่า สีชมพูเป็นสีที่สื่อถึงมิตรไมตรี และต้อนรับแขกผู้มาเยือน ดังนั้นจึงทาสีชมพูให้กับอาคารต่างๆ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเต็มใจต้อนรับแขกผู้มาเยือนจากทั่วโลก
ในปี ค.ศ.1876 มหาราชาสวาอี ราม สิงห์(Sawai Ram Singh) ผู้ปกครองเมืองชัยปุระในขณะนั้น ได้สั่งให้ทาสีอาคารบ้านเรือนในเมืองให้เป็นสีชมพูทั้งหมด เพื่อต้อนรับเจ้าชายแห่งเวลส์ (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร) ที่เสด็จมาเยือนเมืองชัยปุระอย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ สีชมพูยังเป็นสีที่พบได้บ่อยในสถาปัตยกรรมของราชสถาน ราชสถานเป็นรัฐทางตะวันตกของอินเดียที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและวัฒนธรรมที่โดดเด่น สีชมพูเป็นสีที่สื่อถึงความสง่างามและความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ชาวราชสถานภาคภูมิใจ อาคารสีชมพูจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองชัยปุระ
ในปัจจุบัน รัฐบาลอินเดียได้ออกกฎหมายควบคุมสิ่งก่อสร้างภายในเขตกำแพงเมืองเก่าของชัยปุระให้คงสภาพเดิม รวมถึงรักษาสีชมพูแบบเดิมไว้ ส่งผลให้อาคารในชัยปุระยังคงเป็นสีชมพูสดใสและเป็นเอกลักษณ์มาจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ชัยปุระ นับเป็นชัยภูมิที่ดีของการท่องเที่ยวอินเดีย เพราะตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมทองคำร่วมกับ เดลี(Delhi) และอัครา(Agra) เวลาเราวางโปรแกรมทัวร์เริ่มต้นที่ชัยปุระ เราอาจจะควบเมืองอัครา(Agra) เข้าไปด้วย และหากมีเวลามากขึ้น ก็อาจควบไปเดลี(Delhi) อีกเมืองเสียเลย
ชัยปุระ(Jaipur) มีอะไรน่าเที่ยว ชัยปุระเป็นเมืองที่มีการท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐราชสถานในปัจจุบัน สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ต้องแวะไปเช็คอิน เช่น
พระราชวังแห่งสายลม(Hawa Mahal) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 โดยมหาราชาสะหวาย ประธาป สิงห์(Maharaja Sawai Pratap Singh) หลานชายของผู้ก่อตั้งชัยปุระ และได้รับการออกแบบขึ้นมาโดยสถาปนิกชื่อ ชันด์ อุสถัด(Lal Chand Ustad) ตั้งอยู่ในใจกลางชัยปุระ เป็นศิลปะของสถาปัตยกรรมราชบัต(Rajput) สถาปัตยกรรมของ Hawa Mahal มีความมหัศรรย์น่าทึ่งถอดแบบมาจากรูปทรงมงกุฏของพระนารายณ์ ด้านหน้าของพระรายวังเป็นหน้าบันมีลักษณะคล้ายรังผึ้งมีความสูง 5 ชั้น สร้างจากหินทรายสีชมพู มีช่องหน้าต่างมากถึง 953 บาน ช่องหน้าต่างแต่ละบานจะฉลุเป็นลวดลายเล็กๆ อย่างปราณีต เป็นลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของพระราชวังสายลม หน้าต่างเหล่านี้เรียกว่า "jharokhas" ความสำคัญของหน้าต่างไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบด้านสุนทรียภาพเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในทางปฏิบัติอีกด้วย คือ ทำให้นางในฮาเร็มพระสนมที่อยู่ด้านในสามารถมองผ่านข้างในมาด้านนอกได้ แต่คนจากทางด้านนอกจะไม่สามารถมองผ่านเข้ามาด้านในได้ และที่สำคัญด้วยลักษณะการสร้างแบบนี้ทำให้เกิดช่องแสงและช่องลม ซึ่งเป็นที่มาของ “พระราชวังแห่งสายลม”
การตกแต่งภายในของ Hawa Mahal นั้นมีเสน่ห์ไม่น้อยไปกว่าด้านนอก ชั้นบนของพระราชวังมีห้องหลายห้องที่เชื่อมต่อถึงกัน ประดับด้วยจิตรกรรมฝาผนังสีสันสดใส งานหินอ่อนที่ประณีต และรายละเอียดปิดทองอันละเอียดอ่อน ลานกลางพร้อมน้ำพุทำให้พระราชวังอันเงียบสงบดูมีชีวิตชีวา
ฮาวามาฮาลไม่ได้เป็นเพียงอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เท่านั้น มันยังเป็นสัญลักษณ์ของมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานของชัยปุระ และมรดกอันยาวนานของความฉลาดทางสถาปัตยกรรม ปัจจุบัน ฮาวามาฮาลเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้แวะมาที่นี่ นับเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่อาจขึ้นไปนั่งจิบชาที่ดาดฟ้าของร้านฝั่งตรงข้าม ถ่ายรูปให้ พระราชวังแห่งสายลมนี้เป็นฉากหลัง แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
พระราชวังซิตี้พาเลซ(City Palace) หรือที่รู้จักกันในนาม “พระราชวังหลวง” พระราชวังหลวงของราชวงศ์ราชปุต ตั้งอยู่บริเวณถนนฮาวา มาฮาลบาซ่าร์(Hawa Mahal Bazar) ใจกลางเมืองชัยปุระ พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้น โดยมหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ที่ 2(Maharaja Sawai Jai Singh II) กษัตริย์แห่งราชวงศ์ชัยปุระ เขาเป็นผู้ก่อตั้ง และปกครองเมืองชัยปุระตั้งแต่ปี 1699-1743 การก่อสร้างพระราชวังแห่งนี้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1729 และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1732 พระราชวังแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมราชปุต(Rajput) และโมกุล สร้างขึ้นจากหินทรายสีแดง และสีชมพู
พระราชวังซิตี้พาเลซเป็นอาคารขนาดใหญ่ และซับซ้อน มีลานกว้างใหญ่ล้อมรอบด้วยพระราชวังเล็กๆ ที่มีซุ้มโค้งเล็กๆ หลายแห่ง พระราชวังเล็กๆ เหล่านี้ได้ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ ประกอบด้วยอาคารหลายหลัง สวนหลายแห่ง
ปัจจุบัน พื้นที่ส่วนหนึ่งของ ซิตี้ พาเลซ(City Palace) ยังคงเป็นที่ประทับของผู้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์คัชวาฮา(Kachwaha Dynasty) ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ปกครองของรัฐชัยปุระในอดีต และแบ่งพื้นที่บางส่วนให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ รวมทั้งยังมีในส่วนที่เป็นโรงแรมที่พัก พื้นที่หลักๆใน City Palace ประกอบด้วย
1. The Chandra Mahal จันทรา มาฮาล เป็นอาคารพระราชวังหลัก ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของพระราชวังซิตี้ มีประตูนกยูงขนาดใหญ่อยู่ที่ทางเข้า มีโครงสร้าง 7 ชั้น อาคารภายนอกมีความสวยงามทำจากหินทรายสีแดงและหินอ่อน การตกแต่งภายในของจันทรามาฮาลก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน เนื่องจากมีงานแกะสลัก ภาพจิตรกรรมฝาผนัง และโคมไฟระย้าอันหรูหรา แต่ละชั้นได้รับการตั้งชื่อเฉพาะ เช่น Ranga-Mandi(รังกามันดีร์), Sukh-Niwas(สุขนิวาส), Mukut Mahal(มูกุตมาฮาล), Pitam-Niwas(ปิทัมนิวาส), Shri-Niwas(ศรีนิวาส) และChhavi-Niwas(ฉฮาวีนิวาส)
จุดที่ได้รับความนิยมมากๆ ในอาคารหลังนี้ ก็คือ Chhavi-Niwas(ฉฮาวีนิวาส) รู้จักกันดีในนามห้องสีฟ้า(Blue Room) ห้องสีฟ้า มีลวดลายสีขาวอ่อนช้อยกระจายทั่วทั้งผนัง เพดาน ส่วนพื้นเป็นหินอ่อนขัดเงา ห้องสีฟ้าใน City Palace มักปรากฏอวดตัวสวยอยู่ในโลกออนไลน์ เป็นที่เชื้อเชิญให้เราแวะมาที่นี่ ห้องสีฟ้านี้ตั้งอยู่บนชั้น 5 ของ The Chandra Mahal นอกจากความสวยงาม สบายตา และถ่ายรูปด้านในได้สวยแล้ว ด้านนอกท่านยังจะได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามของเมือง Jaipur และ Aravalli Hills โดยรอบ เทือกเขานี้มีความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณและสัตว์ป่า มีป่าไม้ ป่าละเมาะ และทุ่งหญ้าหลายแห่ง เทือกเขายังเป็นที่ตั้งของแหล่งโบราณคดีที่สำคัญหลายแห่ง
การจะเข้าชมห้องต่างๆ ใน Chandra Mahal นักท่องเที่ยวต้องซื้อตั๋วแบบ ROYAL SPLENDOUR ซึ่งจะสามารถเข้าชมห้อง Sri Niwas, Chavi Niwas, Shobha Niwas, Pritam Niwas และ Sarvato Roof ได้ ตั๋วแบบนี้เมื่อซื้อแล้วจะมีไกด์ 1 คน พาเราเดินเที่ยว อธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้เราฟัง โดยเราไม่สามารถเดินเที่ยวเองได้ หลังจากที่เดินครบ ไกด์จะพาเราออกมาส่งตรงที่เป็นเหมือนคาเฟ่ และจะมีน้ำให้เราเลือกดื่ม 1 อย่าง ราคาค่าเข้าต้องเช็คอีกครั้งก่อนไป เพราะราคามีการปรับเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ แต่บอกเลยว่าราคาไม่ถูกนะคะ ประมาณ 4,000 รูปี คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 2,000 บาท คุ้มหรือไม่ก็แล้วแต่สะดวก แต่สำหรับเราคิดว่าไหนๆ ไปแล้ว ก็อยากไปให้สุด
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ต้องการเข้าในห้องต่างๆ ของ Chandra Mahal ก็ให้ซื้อตั๋วแบบ COMPOSITE จะเป็นตั๋วที่สามารถเข้าได้เพียงบางส่วนของพระราชวัง และสามารถเข้ามาในส่วนที่เป็นลานของ Chandra Mahal ได้ ตั๋วแบบ COMPOSITE ไม่ต้องมีไกด์ สามารถเดินเที่ยวได้เอง ราคาค่าตั๋วของนักท่องเที่ยวจะมีราคาแพงกว่าคนท้องถิ่น
Chandra Mahal(จันทรา มาฮาล) ยังคงเป็นที่ประทับหลักของราชวงศ์ ด้านบนสุดคือศาลา Mukut Mandir ซึ่งจะมีธงชัยปุระ คลี่ประดับอยู่ และแสดงให้เห็นเป็นสัญลักษณ์ว่า ณ ขณะนั้นมีราชวงศ์ประทับอยู่หรือไม่
Mubarak Mahal(พระราชวังแห่งการต้อนรับ) มูบารัค มาฮาล สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยมหาราชา Madho Singh II ในอดีตอาคารนี้ มีไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่สำคัญ ชั้นหนึ่งของ Mubarak Mahal เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องแต่งกายของราชวงศ์ ชั้นสอง จัดแสดงคอลเลกชันรถม้าของราชวงศ์ รวมถึงรถม้าที่มหาราชาใช้ในพิธีการอย่างเป็นทางการ ชั้นสาม เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์อาวุธและอาวุธยุทโธปกรณ์ อาคารนี้สามารถถ่ายรูปได้เฉพาะด้านนอก ด้านในห้ามถ่ายรูป
Diwan-i-Khas(ดีวันอีคาส) เป็นหนึ่งในอาคารที่ห้ามพลาดของ City Palace จุดเด่นของส่วนนี้ คือ ภาชนะสีเงินรูปร่างเหมือนเหยือกขนาดใหญ่ จำนวน 2 ใบ รู้จักกันในชื่อ Gangajalis หรือ Silver Jar สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 โดยมหาราชา Sawai Pratap Singh Gangajalis มีความสูง 5.3 ฟุต และมีน้ำหนักต่อ 345 กิโลกรัม ภาชนะแต่ละชิ้นถูกสร้างจากเหรียญเงินที่หลอมละลายจำนวน 14,000 เหรียญ นับเป็นเหยือกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยได้รับการรับรองจาก Guinnes Book of World Records และที่นี่ยังมีเก้าอี้หินอ่อนสี่ตัวที่วางอยู่ที่มุมห้องโถง กล่าวกันว่าเก้าอี้เหล่านี้ถูกใช้โดยมหาราชาและราชินีทั้งสามของพระองค์ ผนังของห้องโถงนี้บรรจุภาพวาดขนาดเท่าจริงของมหาราชาแห่งชัยปุระ ข้อความโบราณ ภาพวาด พรมปัก และต้นฉบับต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือของพระคัมภีร์ฮินดู
Diwan-i-Aam(Hall of Public Audience) อาคารนี้จะเป็นส่วนที่จัดแสดงภาพวาด และประวัติของมหาราชา แต่ละพระองค์ รวมทั้งภาพวิถีชีวิตชาวเมืองชัยปุระ
Pritam Niwas Chowk ส่วนนี้เป็นอีกหนึ่งส่วนที่ห้ามพลาดเพราะเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ประจำพระราชวัง City Palace ในอดีตตรงนี้เป็นลานที่ใช้สำหรับการแสดงของนางรำ ที่นี่มีประตูที่เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอิน จำนวน 4 บาน เชื่อกันว่าประตูเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเป็นสัญลักษณ์ของ 4 ฤดูกาล และเทพเจ้าในศาสนาฮินดู 4 องค์ ได้แก่ พระวิษณุ พระศิวะ พระแม่ปาราวตี และพระพิฆเนศ
ประตูนกยูง(Peacock Gate) สัญลักษณ์แทนฤดูฝน ตัวแทนพระวิษณุ
ประตูดอกบัว(Lotus Gate) ญลักษณ์แทนฤดูร้อน ตัวแทนพระศิวะ
ประตูกุหลาบ(Rose Gate) สัญลักษณ์แทนฤดูหนาว ตัวแทนพระแม่ปารวดี
ประตูสีเขียว(Leheriya Gate / Wave Gate) สัญลักษณ์แทนฤดูใบไม้ผลิ ตัวแทนพระพิฆเนศ Leheriya แปลว่า "คลื่น" ในภาษา Rajasthani เป็นรูปแบบการย้อมแบบดั้งเดิมที่ปฏิบัติกันในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยลวดลายคล้ายคลื่นอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นโดยการคัดเลือกมัด และย้อมผ้า เลเฮริยาเป็นรูปแบบศิลปะที่มีชีวิตชีวาและมีสีสันที่ปฏิบัติกันมานานหลายศตวรรษ และเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับเสื้อผ้าแบบราชสถานแบบดั้งเดิม
บริเวณนี้ แค่รอถ่ายรูปกับประตูทั้ง 4 บาน ก็กินเวลานานโข เพราะมันสวยจนอยากถ่ายไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้ พระราชวังซิตี้พาเลซยังมีสวนหลายแห่งที่สวยงาม ได้แก่
สวนโมฮัลล่า (Mahal Garden) เป็นสวนที่ตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารโมฮัลล่า
สวนมุขมาฮาล (Muk Mahal Garden) เป็นสวนที่ตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารมุขมาฮาล
สวนมุกธาบา (Mukthaba Garden) เป็นสวนที่ตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารมุกธาบา
ป้อมแอมเบอร์(Amber Fort) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของชัยปุระ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดยมหาราชามาน ซิงห์ที่ 1 ผสมผสานสถาปัตยกรรมฮินดูและโมกุลเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ป้อมแอมเบอร์เป็นที่ตั้งของพระราชวัง วัด และสวนหลายแห่ง ตัวป้อมตั้งอยู่บนเนินเขามองเห็นวิวเมืองชัยปุระซึ่งเป็นทัศนียภาพอันสวยงาม Amber Fort ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO) หรือ องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) เมื่อปี ค.ศ.2013 การจะขึ้นไปเที่ยวยังป้อมแห่งนี้ทำได้ด้วย 3 วิธี จากทางขึ้น คือ เดินเท้า ซึ่งสามารถทำได้ไม่ได้ลำบากอะไร เดินเล่นพูดคุยกันไปเรื่อยๆ ก็ถึงแล้ว หรือถ้าไม่อยากเดิน ด้านล่างก็มีบริการรถจิ๊ปก็สะดวกสำหรับคนไม่ชอบเดิน หรือบางท่านอยากสัมผัสประสบการณ์ของการนั่งช้างก็ได้เช่นกัน แต่สำหรับเราแล้วเดินเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะไม่อยากเสียเงินค่ารถ ไม่อยากนั่งอยู่บนหลังช้าง และระยะทางของการเดินก็ไม่ได้ไกล หรือลำบากอะไรเลย
จันตาร์มันตาร์(Jantar Mantar) เป็นหอดูดาวโบราณที่สร้างขึ้นโดยมหาราชาสะหวาย ชัยสิงห์ที่ 2 ประกอบด้วยเครื่องมือทางดาราศาสตร์โบราณกว่า 17 แห่ง แต่ละแห่งมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น การคำนวณตำแหน่งดาวฤกษ์ คำนวณเวลา คำนวณฤดูกาล และอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากในชัยปุระ เช่น พระราชวังน้ำ(Jal Mahal), ป้อมนาหรครห์(Nahargarh Fort), สวนสาธารณะโมติ มาฮาล(Moti Mahal Garden), ตลาดกลาง(Chokhi Dhani), พิพิธภัณฑ์อัลเบิร์ต ฮอลล์(Albert Hall Museum)
คุณสามารถวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวในชัยปุระได้ตามความสนใจของคุณ ไม่ว่าจะสนใจประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ธรรมชาติ หรือชอปปิง ชัยปุระมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
2. Udaipur(อุดัยปูร์ หรืออุทัยปุระ) City of Lake ไข่มุกแห่งทะเลสาบ มรดกโลกแห่งอินเดีย
ฟรีเบิร์ดทัวร์ พาหลบหนีจากความวุ่นวายในเมือง มาสัมผัสความงามอันสงบของ Udaipur ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย เมืองที่ได้รับสมญานามว่า City of Lakes หรือ "เมืองแห่งทะเลสาบ" เนื่องจากมีทะเลสาบขนาดใหญ่ถึง 3 ทะเลสาบ ได้แก่ ทะเลสาบ Pichola, ทะเลสาบ Fateh Sagar และทะเลสาบ Sukh Sagar
Udaipur เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจมากมาย เริ่มจากสถาปัตยกรรมอันงดงามของเมืองที่ผสมผสานระหว่างศิลปะแบบราชสถานและศิลปะแบบยุโรป โดดเด่นด้วยอาคารสีชมพูสดใสที่ประดับประดาด้วยลวดลายวิจิตรบรรจง พร้อมที่จะไปสัมผัสความงามอันสงบของ Udaipur เมืองมรดกโลกแห่ง อินเดียกันหรือยังตาม freebirdtour ไปสัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจใน Udaipur กัน
3. Jodhpur(จ๊อดปูร์) เมืองสีฟ้าแห่งอินเดีย มนต์เสน่ห์ที่สะกดทุกสายตา
Jodhpur ได้รับสมญานามว่า "นครสีฟ้า" เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของรัฐราชสถาน และของประเทศอินเดีย จุดเด่นของเมืองก็ด้วยอาคารบ้านเรือนที่ทาสีฟ้าทั้งเมือง ตัดกับท้องฟ้าสีครามสดใส สวยงามราวกับภาพวาดในเทพนิยายอย่างไรอย่างนั้นทีเดียว สาเหตุที่เมือง Jodhpur ทาสีฟ้าทั้งเมือง ก็มาจาก
ความเชื่อทางศาสนา ชาวอินเดียในศาสนาฮินดูเชื่อว่า สีฟ้าเป็นสีของท้องฟ้าและทะเล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าและพลังแห่งการปกป้องคุ้มครอง ดังนั้น ชาวอินเดียในวรรณะพราหมณ์ซึ่งเป็นวรรณะสูงสุดในสังคมอินเดียจึงมักทาสีบ้านเรือนของตนเป็นสีฟ้า เพื่อแสดงถึงความศรัทธาในศาสนาฮินดูและเพื่อปกป้องคุ้มครองครอบครัวของตนจากสิ่งชั่วร้าย
และเนื่องจากสีฟ้าเป็นสีที่สะท้อนแสงแดดได้ดี จึงช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดดได้ ทำให้บ้านเรือนเย็นสบายและช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านได้ นอกจากนี้ สีฟ้ายังช่วยป้องกันแมลงสาบและยุงได้อีกด้วย
ในอดีต เมือง Jodhpur เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์เมห์รา(Mehrangarh) ในช่วงศตวรรษที่ 15 กษัตริย์เมห์ราแห่งราชวงศ์เมห์ราได้ออกคำสั่งให้ทาสีบ้านเรือนในย่านเมืองเก่าให้เป็นสีฟ้าทั้งหมด เพื่อให้เมือง Jodhpur กลายเป็นเมืองที่โดดเด่นและสวยงาม นอกจากนี้ กษัตริย์เมห์รายังเชื่อว่าสีฟ้าจะช่วยปกป้องเมือง Jodhpur จากภัยพิบัติต่างๆ ได้อีกด้วย
ปัจจุบัน เมือง Jodhpur ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของเมืองสีฟ้าเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศอินเดีย ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาสัมผัสมนต์เสน่ห์ของเมืองสีฟ้าแห่งนี้
จ๊อดปูร์(Jodhpur) มีอะไรน่าเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองจ๊อดปูร์ เช่น
ป้อมเมห์รันครห์(Mehrangarh Fort) ป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ที่สูงตระหง่านเหนือเมือง มองเห็นวิวทิวทัศน์อันงดงามของเมืองได้แบบพาโนรามา
พระราชวังอเมิร์ แมฮัล(Amer Fort) พระราชวังอันหรูหราวิจิตรตระการตา สร้างขึ้นในสไตล์ราชปุตอันเป็นเอกลักษณ์
ย่านเมืองเก่า(Old City) ย่านเมืองเก่าที่ยังคงอนุรักษ์ความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมของชาวอินเดียเอาไว้
หมู่บ้านจันทาร์(Chandar Talai) หมู่บ้านโบราณที่มีชื่อเสียงเรื่องการทำผ้ามัดย้อม
ทะเลทรายธาร์(Thar Desert) ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย
ของฝากจาก Jodhpur
ผ้ามัดย้อม(Block Print) ผ้ามัดย้อมที่มีชื่อเสียงของอินเดีย
เครื่องเงิน(Silver Jewellery) เครื่องเงินที่มีคุณภาพดีเยี่ยม
เครื่องเทศ(Spices) เครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น
จ๊อดปูร์(Jodhpur) เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีเสน่ห์ และน่าหลงใหลของรัฐราชสถาน เหมาะกับการมาเที่ยวทั้งแบบครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือคู่รัก
4. Jaisalmer(ไจชัลแมร์,ไจซาลเมอร์ หรือจัยซัลแมร์) เมืองสีทองสีสันกลางทะเลทราย Thar
นครสีทอง