13 นครแห่งสายน้ำ โรแมนติกระดับโลก

         


13-city-of-rivers-global-romance_freebirdtour

 

เอาใจคนรักสายน้ำ ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์  ชวนไปเที่ยว 13 นครแห่งสายน้ำที่มีความโรแมนติกระดับโลก สายน้ำไหนจะได้ใจเราไป ตาม Freebirdtour ไปเที่ยวกันค่ะ

 

1. เมืองอุทัยปุระ(Udaipur) ประเทศอินเดีย

udaipur india

 ภาพโดย makalu จาก pixabay

 

อุทัยปุระ(Udaipur) ตั้งอยู่ทางใต้ของรัฐราชสถาน(Rajastan) ประเทศอินเดีย เมืองที่สำคัญ เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในรัฐราชสถาน(Rajastan) เช่น เมืองชัยปุระ(Jaipur) หรือเราเรียกกันว่าเมืองสีชมพู , เมืองจอร์จปูร์(Jodhpur) หรือเมืองสีฟ้า และเมืองอุทัยปุระ(Udaipur) นี่เอง ซึ่งระยะทางจากชัยปุระไปอุทัยปุระ ประมาณ 400 กิโลเมตร


อุทัยปุระ(Udaipur) นับเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเมื่อมาเยือนอินเดีย เพราะที่นี่เต็มไปด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่ผ่านกาลเวลามายาวนาน วิถีชีวิต วัฒนธรรม มีสถานที่ท่องเที่ยว สถาปัตยกรรมที่สวยงามและน่าจดจำ และด้วยอุทัยปุระ(Udaipur) ถูกรายล้อมไปด้วยทะเลสาบ จึงได้รับสมญานามว่า "เมืองแห่งทะเลสาบ"(City of Lakes) และได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดในอินเดีย ฟรีเบิร์ดทัวร์คิดว่าความโรแมนติกของอุทัยปุระ(Udaipur) ไม่ใช่โด่งดังแค่ในอินเดีย แต่เป็นหนึ่งในนครแห่งสายน้ำที่โรแมนติกระดับโลกเลยทีเดียว แต่จะโรแมนติกขนาดไหน โรแมนติกแบบอินเดียๆเป็นอย่างไร ทำไมถึงกับมีคนบอกว่านี่คือเวนิสในแบบอินเดียชัดๆ ตามฟรีเบิร์ดทัวร์ไปดูกัน


สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองอุทัยปุระ(Udaipur) คือ พระราชวัง City Palace Udaipur ตั้งอยู่บนสันเขาทางตะวันออกของทะเลสาบ Pichola ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอุทัยปุระ(Udaipur) ขนาบข้างด้วยเทือกเขาอาราวัลลี(Aravali)

City Palace Udaipur india

ซิตี้พาเลซ(City Palace) เป็นพระราชวังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในราชาสถาน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1559 โดยมหาราณา อุเดย์ ซิงห์(Maharana Uday Singh) ในอดีตเป็นที่พำนักของผู้ปกครองเมือง ต่อมาได้มีการบูรณะ และตกแต่งเพิ่มเติมโดยผู้สืบทอด

 

City Palace Udaipur เป็นสถาปัตยกรรมที่มีการผสมผสานกันอย่างลงตัวของสถาปัตยกรรมยุคกลาง ยุโรป จีน เปอร์เซีย มีความสวยงามวิจิตรบรรจงด้วยหินแกรนิตและหินอ่อน ประดับประดาด้วยกระจกสี ภาพเขียน ภาพกิจกรรมฝาผนัง ที่นี่เป็นทั้งพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุโบราณบอกเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมา และมีส่วนที่เป็นโรงแรม พระราชวัง City Palace Udaipur เปิดให้เข้าชมทุกวันจันทร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.30-17.30 น.

 

ไฮไลท์ที่สำคัญของการเที่ยวเมืองอุทัยปุระ(Udaipur)  คือ การล่องเรือในทะเลสาบ Pichola ทะเลสาบที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง ทะเลสาบ Pichola ล้อมรอบด้วยเขาสูง ช่วงเวลาที่นิยมในการล่องเรือคือ ช่วงรุ่งเช้า และช่วงเย็นเพื่อชมพระอาทิตย์ตก แสงจากพระอาทิตย์ที่ทอดลงในทะเลสาบสร้างความโรแมนติกให้กับนักท่องเที่ยวอย่างแน่นอน นอกจากความโรแมนติกของธรรมชาติรอบทะเลสาบ นักท่องเที่ยวที่ล่องเรือก็ยังจะได้ชื่นชมกับความงามของ Taj Lake Palace พระราชวังที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบ

 

นอกจาก City Palace ที่เป็นสถานที่สำคัญในเมืองอุทัยเปอร์แล้วก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นอีก เช่น Jagdish Temple, Fateh Sagar Lake, Jag Mandir Palace, Saheliyon ki Bari, Bagore ki Haveli

 

เอาจริงๆนะการได้เดินเล่นริมทะเลสาบแค่นี้ก็เพียงสุขใจ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบท่องเที่ยวแบบ Slow Life เมืองอุทัยปุระ(Udaipur) ก็มีร้านคาเฟ่เก๋ๆให้นั่งเพลินๆ ชิวๆไปได้ทั้งวัน และเมื่อมาถึงอินเดียแล้วอย่าพลาดลองสั่งเครื่องดื่มที่เรียกว่า Chai หรือ ชา มาดื่มกันนะมันดีงามมากๆ chai หรือ ชาอินเดีย เป็นชาที่ผสมกับเครื่องเทศนานาชนิด รสชาติกลมกล่อม หอมละมุน ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ ชวนชิมและเรียนรู้ วัฒนธรรม 'ชา' ประเทศไหนก็เหมือนกันจริงหรือ

 

เมืองอุทัยปุระ(Udaipur) มีสภาพเมืองที่สวยงามด้วยพื้นฐานของธรรมชาติที่นี่เราจะได้เห็นทั้งภูเขา ทะเลสาบ เมื่อนำมาผสมกับสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นก็ทำให้เมืองอุทัยปุระ(Udaipur) งดงามน่าเที่ยว ทั้งแบบจะไปเที่ยวเดินเล่นชิวๆ คนเดียว ไปกับครอบครัว ไปกับเพื่อน หรือเป็นจุดหมายปลายทางของคู่แต่งงานใหม่ที่จะใช้เมืองอุทัยปุระ(Udaipur) เป็นสถานที่ฮันนีมูนก็ดีไม่แพ้กัน หรือหากอยากหาสถานที่ฮันนีมูนประเทศอื่นๆ Freebirdtourก็ขอแนะนำ 8 สถานที่ฮันนีมูนสุดฟินเพิ่มความหวานให้ข้าวใหม่ปลามัน


เมืองอุทัยปุระ(Udaipur) เป็นหนึ่งจุดหมายปลายทางใน 13 นครแห่งสายน้ำ ที่ฟรีเบิร์ดทัวร์ขอยกให้ว่าเป็นเมืองโรแมนติกระดับโลกที่ต้องไปให้ได้สักครั้งในอินเดีย สนใจโปรแกรมทัวร์อินเดีย

udaipur india freebirdtour

 

และหากมีเวลา ฟรีเบิร์ดทัวร์ก็อยากจะแนะนำให้แบ่งเวลาไปเที่ยวเมืองอื่นๆที่อยู่ไม่ไกลจากกัน เช่น เมืองชัยปุระ(Jaipur) และเมืองมันดาวา(Mandawa) ทำความรู้จักกับเมือง Mandawa เมืองเก่าเล่าเรื่อง หรือต่อไปยังเมืองอัครา(Agra) ก็น่าสนใจไม่น้อย ไปทำความความรู้จักกับการ ตะลุย 3 เมืองในอินเดีย ชัยปุระ มันดาวา อัครา 

 

2. เมืองบรูกส์(Bruges หรือ Brugge) ประเทศเบลเยี่ยม 

Bruges_belgium_freebirdtour

 

เมืองบรูกส์(Bruges หรือ Brugge) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเบลเยี่ยม(Belgium) ในอดีตที่นี่เคยเป็นเมืองท่าสำคัญ มีความเจริญรุ่งเรือง คึกคัก Brugesได้รับการขนานนามว่าเป็น เวนิชแห่งยุโรปเหนือ(Venice of the North) ตัวเมืองบรูกส์(Bruges) มีลักษณะเป็นรูปไข่

brugge_bruges_belgium_freebirdtour

bruges_belgium_freebirdtour

ไฮไลท์การท่องเที่ยวในเมืองบรูกส์(Bruges) คือ การล่องเรือสัมผัสบรรยากาศของคลองที่รายล้อมตัวเมืองนี้ไว้ การเที่ยวแบบล่องเรือจะทำให้เราได้ชมสถาปัตยกรรมยุดกลาง ตึกรามบ้านช่องสวยๆเคล้าความเขียวขจีของต้นไม้ที่ปกคลุมสองข้างคลอง ทัศนียภาพที่สวยงาม สะพานสุดโรแมนติก พร้อมฝูงหงส์ที่ออกมาทักทายนักท่องเที่ยวเป็นระยะ

tourist_boat_on_canal_bruges_belgium_freebirdtou

นอกจากการนั่งเรือสัมผัสบรรยากาศชิวๆของสองฝั่งคลองแล้ว นักท่องเที่ยวก็สามารถเดินทอดน่องชมเมืองได้อย่างเพลิดเพลิน หรือจะใช้บริการนั่งรถม้าก็ดีไปอีกแบบ

horse_grote_markt_square_brugge_belgium

สถานที่สำคัญของเมืองบรูกส์(Bruges) และนับเป็นจุดรวมของนักท่องเที่ยว รวมทั้งจุดรวมของคนท้องถิ่นในเมืองนี้คือ จัตุรัสกลางเมือง(Markt of Bruges) หรือ The Market Square สิ่งที่โดดเด่นของจัตุรัสกลางเมือง คือ หอระฆัง Belfry of Bruges เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ และเราสามารถขึ้นไปชมวิวด้านบนของหอระฆังนี้ได้ด้วย บริเวณจัตุรัสกลางเมืองนี้ก็ยังเป็นที่ตั้งของ ศาลจังหวัด ธนาคาร บ้านกิลด์(guild houses) ร้านอาหาร ร้านค้า ร้านกาแฟ และตรงนี้ก็ยังมีตลาดนัดประจำสัปดาห์ที่มีทั้งของแห้ง ของสด ผัก ผลไม้ ดอกไม้ เนื้อสัตว์ ชีส ของกินต่างๆ และผลผลิตที่ทำด้วยมือ ใจกลางจัตุรัสมีรูปปั้นของ Jan Breydel และ Pieter de Coninck ทั้งสองเป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้กับฝรั่งเศสเมื่อต้นศตวรรษที่ 14 Jan Breydel เป็นหัวหน้าคนขายเนื้อ และ Pieter de Coninck เป็นหัวหน้าของช่างทอผ้า

markt_square_bruges_belgium_freebirdtour

grote_markt_square_brugge_belgium_freebirdtour


นอกจากนี้ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่าง The Church of Our Lady(Onze-Lieve-Vrouwekerk) โบสถ์คริสต์สไตล์โกธิก มีความเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ตัวของหอคอยสูง 115.6 เมตร(379 ฟุต) เป็นหอคอยที่สูงที่สุดในเมือง และเป็นหอคอยอิฐที่สูงเป็นอันดับสามของโลก รองจากโบสถ์เซนต์แมรี(St.Mary's Church)ในลือเบค(Lübeck) และโบสถ์เซนต์มาร์ติน(St.Martin's Church) ในลันด์ชัต(Landshut) ของเยอรมนี การตกแต่งภายในเป็นสไตล์บาโรก(Baroque Architecture)


ถ้าชอบเที่ยวโบสถ์ในเมืองบรูกส์(Bruges) ก็ยังมีโบสถ์อื่นให้เที่ยวอีก เช่น St. James's Church (Sint-Jacobskerk), St Walburgha’s Church, Basilica of the Holy Blood, St Anne’s Church (Sint-Annakerk), Saint Saviour's Cathedral (Sint-Salvatorskathedraal ) หรือถ้าชอบเที่ยวมิวเซียมในเมืองบรูกส์(Bruges) ก็มีหลายแห่ง เช่น Groeninge Museum, Memling museum


เมื่อมาถึงเมืองบรูกส์(Bruges) แล้ว ก็อย่าลืมลองชิมช็อกโกแลต เพราะช็อกโกแลตของเบลเยี่ยมเขาก็มีชื่อเสียงนะ ที่เมืองบรูกส์(Bruges) มีร้านจำหน่ายช็อกโกแลตกระจายอยู่ทั่วเมือง ช็อกโกแลตบางร้านก็ออกแบบรูปทรงเป็นรูปต่างๆ 


บรูกส์(Bruges) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO) หรือองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) ในปี ค.ศ. 1998

หากมีโอกาสก็อย่าลืมแวะมาเที่ยวเมืองบรูกส์(Bruges) กันนะคะ เมืองนี้อยู่ห่างจากเมืองBrussels เดินทางโดยรถไฟ ประมาณ 1 ชั่วโมง เท่านั้นเอง

 

medieval_landmark__bruges_belgium

bruges_belgium_freebirdtour

bruges_belgium

 

3. หมู่บ้านกีธูร์น(Giethoorn) ประเทศเนเธอร์แลนด์

giethoorn_netherlands_freebirdtour

 

หมู่บ้านกีธูร์น(Giethoorn) ตั้งอยู่ระหว่างเมืองซโวลเลอ(Zwolle) และสตีนวิก(Steenwijk) ประเทศเนเธอร์แลนด์(Netherlands) ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในฝันของนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก และได้ถูกขนามนามว่าเป็น 'เวนิสแห่งฮอลแลนด์'

Giethoorn เป็นหมู่บ้านที่มีความสวยงามราวกับเทพนิยาย หมู่บ้านกีธูร์น(Giethoorn) เต็มไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้เขียวขจี ดอกไม้สีสด บ้านทรงสวยหลังคามุงจาก พร้อมพื้นที่หน้าบ้านที่จัดแต่งได้อย่างงดงาม บ้านแต่ละหลังทิ้งระยะไม่ห่างตั้งเรียงกันอยู่ตลอดคลอง มีสะพานไม้ยกสูงเพื่อให้เรือลอดผ่าน ชาวบ้านที่นี่ใช้เรือเป็นพาหนะในการสัญจรในหมู่บ้าน หรือใช้การเดินเท้าข้ามผ่านสะพานไปมา หมู่บ้านกีธูร์น(Giethoorn) เป็นหมู่บ้านไร้ถนนที่สวยจนแทบสะกดให้แขกที่ไปเยือนอย่างเราลืมกลับประเทศกันเลยทีเดียว

giethoorn_dutch_village_netherlands_freebirdtour

หมู่บ้านกีธูร์น(Giethoorn) เป็นหมู่บ้านที่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ แต่นักท่องเที่ยวอย่างเราก็สามารถเดินทางเข้าไปเที่ยวได้ มีเรือนำเที่ยวที่จะพานักท่องเที่ยวล่องไปตามคลองสัมผัสบรรยากาศของบ้านแต่ละหลัง คลองแต่ละเส้น ผ่านสะพานไม้เชื่อมฝั่งคลองที่มีมากกว่า 170 สะพาน ที่นี่มีร้านอาหาร ร้านจำหน่ายของที่ระลึก มีจุดให้นักท่องเที่ยวนั่งพักหลังเดินเล่นจนเหนื่อย หมู่บ้านกีธูร์น(Giethoorn) อยู่ห่างจากอัมสเตอร์ดัม(Amsterdam) เมืองหลวงประมาณชั่วโมงกว่า คลิกอ่าน เที่ยวหมู่บ้านกีธูร์น หมู่บ้านไร้ถนนในเนเธอร์แลนด์

giethoorn_dutch_village_netherlands_freebirdtou

 

4. เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก(Saint Petersburg) ประเทศรัสเซีย 

saint_petersburg_russia_freebirdtour

 

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก(Saint Petersburg) เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองรองจากมอสโก ของรัสเซีย เป็นอีกหนึ่งเมืองในยุโรปที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสวยๆ มีเอกลักษณ์ สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมีทั้งพระราชวัง โรงละคร พิพิธภัณฑ์ โบสถ์ ให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมอย่างไม่รู้เบื่อ


เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก(Saint Petersburg) ได้รับฉายาว่าเป็น เวนิสแห่งยุโรปเหนือ เพราะเมืองนี้เต็มไปด้วยแม่น้ำ ลำคลอง และสะพาน ไม่น้อยหน้าอีก 12 นครแห่งสายน้ำที่ฟรีเบิร์ดทัวร์ได้นำเสนอในครั้งนี้ แม่น้ำที่มีชื่อเสียงของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก(Saint Petersburg) คือ แม่น้ำเนวา(Neva River) เป็นแม่น้ำสายหลักของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก(Saint Petersburg) ที่ไหลมาจากทะเลสาบลาโดกา(Lake Ladoga) ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป และไหลเข้าสู่อ่าวฟินแลนด์ในทะเลบอลติก นักท่องเที่ยวรวมทั้งชาวเมืองมักจะมาเดินเล่นริมแม่น้ำเนวา บ้างก็มาล่องเรือ บริเวณนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆหลายแห่ง เช่น


พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจ(Hermitage Museum) หรือพระราชวังฤดูหนาว พิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่มีงานศิลปะให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปดูกว่าสามล้านชิ้น ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะดูครบเนี่ย Hermitage Museum พิพิธภัณฑ์ศิลปะนี้มีความเก่าแก่มากที่สุดในโลกโดยได้รับการบันทึกในหนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์(The Guinness book of world records) ให้เป็นหอศิลป์ที่มีงานสะสมมากชิ้นที่สุดในโลก

hermitage_museum_saint_petersburg_freebirdtour

หากล่องเรือชมแม่น้ำเนวาเราจะได้เห็น ป้อมปีเตอร์แอนด์พอล(Peter and Paul Fortress) สถาปัตยกรรมทรงหกเหลี่ยม กำแพงเป็นหินก่ออิฐ สร้างโดยปีเตอร์มหาราชในปี ค.ศ.1703 อย่างชัดเจน

divorced_palace_bridge_peter_paul_cathedral_saint_petersburg_freebirdtour

ในช่วงเดือนธันวาคม ถึงประมาณต้นเดือนเมษายน น้ำในแม่น้ำเนวา(Neva River) จะกลายเป็นน้ำแข็ง ก็ทำให้บริเวณนี้สวยแปลกตาไปอีกแบบ


อีกหนึ่งกิจกรรมสำหรับคนชอบน้ำคือนั่งเรือล่องคลองกริโบเอดอฟ(Griboedov Canal) ซึ่งคลองนี้เราจะได้เห็นโบสถ์แห่งหยดเลือด(Church of the Savior on Spilled Blood) สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ผู้เป็นบิดา ซึ่งพระองค์ได้ถูกลอบปลงพระชนม์บริเวณนี้ เมื่อปี ค.ศ. 1881 โบสถ์แห่งหยดเลือด ตั้งอยู่ริมคลองกริโบเอดอฟ(Griboedov Canal)

church_of_the_savior_on_blood__saint_petersburg_freebirdtour

และเมื่อมาถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก(Saint Petersburg) ก็ต้องไม่พลาดเข้าเยี่ยมชม พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ(Peterhof Palace) หรือพระราชวังเปเตียร์กอฟ พระราชวังแห่งนี้ได้รับสมญานามว่าเป็น "วังแวร์ซายแห่งรัสเซีย" พระราชวังแห่งนี้ และบริเวณใจกลางเมืองได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO) อีกด้วย

pertergof_saint-petersburg_russia_freebirdtour

พระราชวังแคทเธอรีน(Catherine Palace) หรือพระราชวังเยกาเจรีนา เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่มีชื่อเสียงมากของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก(Saint Petersburg)

catherine_palace_saint_petersburg_russia_freebirdtour

วิหาร Saint Isaac’s Cathedral วิหารโดมสีทองตั้งเด่นเป็นสง่าใจกลางเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก(Saint Petersburg)

saint_petersburg_saint_isaacs_cathedral_russia_freebirdtour

Mariinsky Theater โรงละครโอเปร่า สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1860 ตั้งชื่อตามพระนามของพระมเหสีในสมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 2 แห่งรัสเซีย และถ้ามีเวลาก็อย่าลืมแวะไป Faberge Museum ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงไข่ฟาบาร์เช่ จำนวนมาก ฟรีเบิร์ดทัวร์ชวนวางแผน เที่ยวรัสเซียช่วงไหนดี เมื่อวางแผนพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันได้เลย

 

5. เมืองโมสตาร์(Mostar) ประเทศบอสเนีย

mostar_bosnia_freebirdtour

 

เมืองโมสตาร์(Mostar) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศบอสเนีย(Bosnia) ที่นี่มีความสวยงามของธรรมชาติ ทั้งภูเขาเขียวขจี มีแม่น้ำเนเรตวา(Neretva River) ไหลผ่าน มีสถาปัตยกรรมแบบออตโตมัน(Ottoman) ให้เราได้เดินเที่ยว มีพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวอดีตอันเจ็บปวดของพวกเขา

 

สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญเมืองโมสตาร์(Mostar) คือ แม่น้ำเนเรตวา(Neretva) เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ทอดผ่านเมือง มีตึกเก่า สุเหร่า โบสถ์ อาคาร สำนักงาน บ้านเรือนที่มุงหลังคากระเบื้องดินเผาตั้งเด่นอยู่ตามแนวสวยงาม 

mostar_neretva_river_in_bosnia_freebirdtour

 

นอกจากแม่น้ำเนเรตวา(Neretva) แล้วอีกหนึ่งสถานที่สำคัญในเมืองโมสตาร์ คือ สะพาน Stari Most หรือ Old Bridge of Mostar เป็นสะพานเก่าแก่ที่สร้างขึ้นโค้งสูงทอดยาวเหนือแม่น้ำเนเรตวา(Neretva) เชื่อมสองฝั่งของบอสเนียเข้าด้วยกัน ด้านหนึ่งเป็นชาวโครแอตที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก อีกฝั่งเป็นชาวบอสเนียนนับถือศาสนาอิสลาม สะพาน Stari Most เคยถูกทำลายในสงครามความขัดแย้งต่อมาได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่ และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO) ในเวลาต่อมาอีกด้วย

 mostar_bosnia_freebirdtour

สะพาน Stari Most มีกิจกรรมหนึ่งที่จัดขึ้นทุกปีช่วงกลางฤดูร้อน ปลายเดือนกรกฎาคม คือ การแข่งขันดำน้ำ เป็นการแข่งขันให้ชายหนุ่มกระโดดลงจาก สะพาน Stari Most ลงสู้แม่น้ำเนเรตวา(Neretva River) แต่ในเวลาปกติที่ไม่มีการแข่งขัน เราก็สามารถเห็นชายหนุ่มท้องถิ่นมากระโดดสะพานโชว์นักท่องเที่ยวเพื่อแลกกับเงินเรี่ยไรได้เช่นกัน

 

การได้มาเที่ยวเมืองโมสตาร์(Mostar) ก็ต้องไม่พลาดที่จะเดินเล่นในเมืองเก่า ที่มีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านจำหน่ายของที่ระลึก ร้านขายของ ย่านเมืองเก่านี้คึกคักไปด้วยผู้คนที่ออกมาเดินเล่น นั่งกินอาหาร พูดคุย

 

อีกสถานที่สำคัญของเมืองโมสตาร์(Mostar) คือ พิพิธภัณฑ์สงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์(Museum of War and Genocide Victims) ภายในพิพิธภัณฑ์จะมีสิ่งของที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องใช้ส่วนตัว รวมไปถึงเครื่องมือที่ใช้ในการทรมาน

 

เมืองโมสตาร์(Mostar) มีเรื่องที่น่าสนใจ คือ หากมีสมาชิกในครอบครัวเสียชีวิต ทางญาติจะนำเอาใบประกาศการเสียชีวิตไปติดประกาศในหมู่บ้าน หรือชุมชนที่อาศัย เพื่อให้เพื่อนบ้านในหมู่บ้านได้ทราบ ในใบประกาศจะมีข้อมูลข้อผู้เสียชีวิต วันเกิด วันตาย และสาเหตุของการตาย

ไปเที่ยวบอสเนียต้องขอวีซ่าไหม คลิกอ่าน บอสเนีย เฮอร์เซโกวีนา ยินดีที่ได้รู้จัก บอสเนียยังมีเมืองที่น่าสนใจอีกหลายเมือง ตาม freebirdtour ไปเที่ยวอะไรกันที่บอสเนีย และเฮอร์เซโกวีนา

 

6. เมืองอานซี(Annecy) ประเทศฝรั่งเศส

annecy_france_freebirdtour

 

เมืองอานซี(Annecy) ประเทศฝรั่งเศส เมืองที่ได้รับฉายาว่า "ไข่มุกแห่งเทือกเขาแอลป์ในฝรั่งเศส"(The Pearl of the French Alps)

annecy_france freebirdtour

 

สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองอานซี(Annecy) อยู่ไม่ไกลกัน นักท่องเที่ยวสามารถใช้การเดินเท้า หรือเช่าจักรยานขี่ ก็เที่ยวได้สบาย

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองอานซี(Annecy) คือ ทะเลสาบ Annecy ทะเลสาบที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามเพราะตั้งอยู่กลางเทือกเขาแอลป์ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามในฝรั่งเศส ทะเลสาบ Annecy เป็นแหล่งพักผ่อนชั้นยอดของเมือง ที่นี่มีผู้คนมาพักผ่อน นั่งเล่น เดินเล่น ปั่นจักรยาน พายเรือ ทำกิจกรรมกันตลอดวัน

เมื่อเดินเล่นเลียบทะเลสาบไปเรื่อยๆ เราจะพบกับ สะพาน Pont des Amours หรือ “The Love Bridge” สะพานแห่งรัก ตั้งอยู่ที่สุดปลายแม่น้ำ Thiou แม่น้ำสายสั้นๆของเมืองอานซี(Annecy) สะพานนี้เป็นตัวเชื่อมทะเลสาบ และแม่น้ำ ว่ากันว่าหากคู่รักได้มาจูบกันที่สะพานนี้จะทำให้ความรักยืนยาว โรแมนติกไหมล่ะ บริเวณไม่ไกลกันมีสวนสาธารณะเพิ่มความสดชื่นให้กับพื้นที่เข้าไปอีก

จุดสำคัญอีกจุดในเมืองอานซี(Annecy) คือ บริเวณย่านเมืองเก่าที่มีแม่น้ำทอดยาวขนานกับตัวอาคาร แบ่งสองฝั่งของตึกรามบ้านช่อง สถาปัตยกรรมที่ผสานกับแม่น้ำสวยงามและลงตัว มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ตั้งเรียงรายให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปอุดหนุน ในแถบย่านเมืองเก่ามีอาคารหินรูปทรงแปลกตาคล้ายหัวเรือ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 เป็นแลนด์มาร์คสำคัญตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางแม่น้ำ Thiou นั่นคือ Le Palais de I'Île ในอดีตที่นี่เคยเป็น เรือนจำ ศาลยุติธรรม โรงผลิตเหรียญกษาปณ์ เคยเป็นที่พักของตระกูล Monthoux ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ Palais de l'Ile ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ ในปี 1900


annecy_france

 

7. เมืองบัมแบร์ก หรือแบมเบิร์ก(Bamburg) ประเทศเยอรมนี 

bamburg_germany_freebirdtour

 

เมืองบัมแบร์ก หรือแบมเบิร์ก(Bamburg) เมืองเล็กๆในรัฐบาวาเรียที่รอดพ้นจากการถูกทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่สอง แบมเบิร์กเป็นเมืองที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แม้บัมแบร์กจะไม่ได้อยู่ในลิสอันดับแรกของการมาเที่ยวเยอรมัน แต่แบมเบิร์ก(Bamburg) ก็เป็นเมืองที่ไม่ควรมองข้ามเพราะที่นี่มีสถาปัตยกรรมสวยๆ เก่าแก่ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี อีกทั้งตัวเมืองเก่ายังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นแหล่งมรดกโลก(World Heritage Site) จากยูเนสโก(UNESCO) ในปี ค.ศ.1993 ในฐานะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ยังคงรักษาคุณลักษณะของเมืองในยุคกลางไว้ได้ อีกด้วย

 

bamburg_germany_freebirdtour

และเพราะเมืองแบมเบิร์ก(Bamburg) เป็นเมืองที่รายล้อมไปด้วยน้ำ จึงได้รับฉายาว่าเป็นเวนิสแห่งเยอรมัน กิจกรรมที่สำคัญ และห้ามพลาดของการมาเที่ยวเมืองBamburg ก็คือ การเดินเล่นริมน้ำชมวิวทิวทัศน์สองฝั่ง รวมถึงการนั่งเรือกอนโดลา(gondola) ที่มีชายใส่เสื้อลายขวางคอยยืนแจวอยู่ท้ายเรือ ลัดเลาะไปตามทางน้ำ แทรกไปตามซอกเล็กที่เรือใหญ่ผ่านไม่ได้ ชมบรรยากาศของเมือง ชมวิถีชีวิตสองฝั่งน้ำ บ้านเรือนเมืองเก่า หรือถ้าไม่นั่งเรือกอนโดลา(gondola) ก็มีเรือใหญ่ให้บริการเช่นกัน

 bamburg_germany_freebirdtour


สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองแบมเบิร์ก(Bamburg) คือ ศาลาว่าการเมืองเก่า(Altes Rathaus) ตั้งอยู่บนสะพานโอเบอร์ บรุ๊ก(Obere Brücke) คร่อมแม่น้ำเร็กนิทซ์ เชื่อมสองฝั่งของเมือง ผนังมีลวดลายของภาพวาดสวยงาม ที่นี่เคยถูกไฟไหม้ ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ Sammlung Ludwig Collection Bamberg พิพิธภัณฑ์นี้จัดแสดงศิลปะเครื่องกระเบื้องที่บอกเล่าเรื่องราวของกระเบื้องแต่ละยุคสมัย

 

old_town_hall_bamberg_germany_freebirdtour

 

อีกหนึ่งสถานที่สำคัญของเมืองแบมเบิร์ก(Bamburg) ก็คือ มหาวิหารบัมแบร์กเซนต์ปีเตอร์ และเซนต์จอร์จ(Bamberger Dom St. Peter and St.Georg) มหาวิหารโรมันคาทอลิกประจำเมือง สร้างโดยจักรพรรดิเฮนรีที่สอง เคยถูกไฟไหม้เสียหายและได้รับการอนุรักษ์ขึ้นมาใหม่

 

8. เมืองกอลมาร์(Colmar) ประเทศฝรั่งเศส

colmar_france_freebirdtour

 

เมืองกอลมาร์(Colmar) เมืองชายแดนแห่งแคว้นอัลซัสที่มีพรมแดนติดกับเยอรมัน เมืองเล็กๆ แต่ความสวยไม่เล็ก จุดเด่นของเมืองกอลมาร์(Colmar) คือ บ้านเรือนสไตล์ Timber Framing ที่มีสีสันสวยงามแซมไปกับกระถางดอกไม้เล็กๆที่ประดับประดาอยู่ทั่วเมือง และลำคลองเล็กๆทอดยาวกั้นกลางระหว่างบ้านเรือนตลอดสองแนว

colmar_france_freebirdtou

สายน้ำทำให้บ้านเรือนดูเย็นตามีชีวิตชีวา การได้เดินทอดน่องชมเรื่องราว ผู้คน วิถีชีวิตของท้องถิ่น ยิ่งทำให้เมืองกอลมาร์(Colmar) ประเทศฝรั่งเศส มีเสน่ห์ โรแมนติก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "เวนิสแห่งฝรั่งเศส" มีคู่รักเหลายๆคู่บรรจุเมืองกอลมาร์(Colmar) อยู่ในแผนของการมาขอแต่งงาน และมาฮันนีมูน สำหรับคู่รักท่านไหนที่กำลังมองหาสถานที่ฮันนีมูนฟรีเบิร์ดทัวร์ขอแนะนำ 8 สถานที่ฮันนีมูนสุดฟินเพิ่มความหวานให้ข้าวใหม่ปลามัน

colmar_france_freebirdtour


หากมาถึงเมืองกอลมาร์(Colmar) แล้วก็อย่าลืมลองจิบไวน์ของที่นี่กันนะคะ เพราะColmar เป็นแหล่งปลูกองุ่นพันธุ์ดีที่นำมาทำไวน์ ของขึ้นชื่อของฝรั่งเศสนั่นเอง

ความโด่งดังอีกอย่างของเมืองกอลมาร์(Colmar) คือ ที่นี่เป็นบ้านเกิดของ เฟรเดริก โอกุสต์ บาร์ตอลดี(Frédéric-Auguste Bartholdi) ประติมากรชาวฝรั่งเศสผู้ออกแบบอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ ที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าในมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา


ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความโรแมนติก มีเมืองท่องเที่ยวที่เชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแวะไปเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย ฝรั่งเศสมักอยู่ในลิสลำดับต้นๆของผู้เริ่มต้นท่องเที่ยวยุโรป และฝรั่งเศสไม่ได้มีดีแค่ปารีส แต่ยังมีเมืองอีกหลายๆเมืองที่ Freebirdtour อยากจะชวนให้ไปเที่ยว ฟรีเบิร์ดทัวร์ชวนเที่ยว 5 เมืองสุดโรแมนติกแห่งแคว้นอัลซัส ฝรั่งเศส


colmar_france_freebirdtour

 

9. ลี่เจียง(Lijiang) ประเทศจีน

lijiang_china_freebirdtour

 

ลี่เจียง(Lijiang) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ถ้าพูดถึงลี่เจียงเรามักจะนึกถึง หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน(Blue Moon Valley) หรือแม่น้ำแห่งความรัก มีเรื่องราวความเชื่อว่าหากใครเป็นคู่รักกันถ้ามาเที่ยวที่นี่แล้วฝ่ายชายยืนเท้าเปล่าแช่น้ำเพื่อแสดงความรักจริงต่อหญิงสาว เหมือนเป็นคำมั่นสัญญาต่อภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ จะรักกันยืนยาว หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน(Blue Moon Valley) มีแม่น้ำไหลลงมาจากภูเขาหิมะมังกรหยก(Jade Dragon Snow Mountain) ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ต้องไป

jade_dragon_lijiang_yunnan_chin

jade_dragon_snow_mountain_lijiang_china_freebirdtour

blue_moon_valley_in_lijiang_city_yunan_china_freebirdtour

jade_dragon_snow_mountain_lijiang_yunnan_china


และเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็ต้องไม่พลาดชมการแสดงที่ดูยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งจำนวนคนแสดง และฉากที่แทบไม่ต้องแต่งเติมอุปกรณ์ใดๆ นั่นคือโชว์ Impressions Lijiang ที่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการมาที่นี่


impressions_lijiang__freebirdtour

impressions_lijiang_freebirdtour

impressions_lijiang_freebirdtour


และอีกหนึ่งสถานที่ต้องห้ามพลาดของการมาเยือนลี่เจียงก็คือ ย่านเมืองเก่าลี่เจียง(Lijiang Old Town) หรือมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า เมืองเก่าต้าเหยียน(Dayan Old Town) เป็นเขตเมืองเก่าที่ยังคงไว้ซึ่งอาคารบ้านเรือนในแบบดั้งเดิม วัฒนธรรม วิถีชีวิตที่ยังฝังรากเง้าเอาไว้อย่างแน่นหนา มีประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมเก่าแก่ยาวนาน ย่านเมืองเก่าลี่เจียง(Lijiang Old Town) ไม่มีกำแพงล้อมรอบ บ้านเรือนแต่ละหลังปลูกสร้างติดๆกัน ตั้งเรียงไปกับแนวของคูคลองของเมือง น้ำในคูคลอง หรือลำธารนี้เกิดจากการละลายมาจากหิมะบนเทือกเขามังกรหยก ภายในย่านเมืองเก่ามีสะพานไม้เก่าแก่กว่า 300 สะพาน ไม่ว่าที่ไหนที่มีคลอง ลำน้ำ มีสะพาน มีเรือ ก็มักจะถูกตั้งฉายาให้เป็นเวนิส และนี่กระมังจึงเป็นที่มาของฉายาว่า "เวนิสแห่งโลกตะวันออก"

 lijiang_old_town_building_roof_china_freebirdtour

old_town_lijiang_yunnan_china_wooden_facades_asia_freebirdtour

เมืองเก่าลี่เจียง(Lijiang Old Town) ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก(UNESCO)

lijiang_old_town_yunnan_china_freebirdtour

 

10. เฟิ่งหวง(Fenghuang) ประเทศจีน

fenghuang_china_himuraseta

 

เฟิ่งหวง(Fenghuang) เป็นเมืองโบราณที่มีความเก่าแก่มากกว่า 300 ปี สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2247 ตั้งอยู่ริมขอบตะวันตกของมณฑลหูหนาน ที่นี่เป็นถิ่นอาศัยของชนกลุ่มน้อยเผ่าม้งและถู่จา เฟิ่งหวง มีความหมายว่า หงส์ เป็นลักษณะกายภาพของเมืองในแผนที่ที่มีรูปร่างเหมือนหงส์ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี

Fenghuang freebirdtour


เฟิ่งหวง แบ่งเมืองออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเมืองเก่า และส่วนที่เป็นเมืองใหม่ มีสะพานหงเฉียว(Hongqiao Bridge) สะพานเก่าแก่ที่ทอดยาวเชื่อมระหว่างสองฝั่งของเมืองเก่า และเมืองใหม่

สิ่งสำคัญของการมาเที่ยวเฟิ่งหวง(Fenghuang) คือ การเดินทอดน่องชมวิถีชีวิตของฝั่งเมืองเก่า ที่มีบ้านเรือนเป็นสถาปัตยกรรมแบบโบราณที่เรียกว่า เตี้ยวเจี่ยวโหล(Diaojiaolou) ปัจจุบันบ้านหลายๆหลังถูกดัดแปลงให้เป็น ร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ที่พัก โรงแรม เอาใจนักท่องเที่ยวที่อยากมาทิ้งตัวพักผ่อนที่นี่สักคืน


Diaojiaolou fenghuang_china freebirdtour


นอกจากการเดินชมธรรมชาติถ่ายรูปบรรยากาศเก่าๆของเมือง นักท่องเที่ยวสามารถเช่าชุดของชนเผ่า และชุดจีนโบราณ เพื่อถ่ายรูปกับเมืองเก่า ก็ดูสวยเหมือนหลุดเข้าไปในซีรีส์จีนโบราณสักเรื่อง


fenghuang_china


อีกสิ่งที่จะพลาดไม่ได้ของการมาเที่ยวที่เฟิ่งหวง(Fenghuang) คือการล่องเรือไปตามแม่น้ำถั่วเจียง(Tuojiang River) เป็นแม่น้ำสายหลัก และสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงการดำรงชีวิตของ Fenghuang บรรยากาศของสายน้ำที่ทอดยาวตลอดสองฝั่งของแนวบ้านเรือนโบราณทำให้เราอยากหยุดเวลาเอาไว้กับบรรยากาศของเมืองโบราณแห่งนี้


fenghuang_village_china freebirdtour


ถ้าใครไม่ชอบนั่งเรือ แต่ก็อยากเอาตัวเข้าไปแทรกอยู่ตามส่วนต่างๆของแม่น้ำถั่วเจียง(Tuojiang River) เขาก็มีสะพานเล็กๆ หรืออิฐเล็กวางเรียงให้เราเดินข้ามไปอยู่กลางแม่น้ำเพื่อเดินเล่น หรือโพสต์ท่าถ่ายรูปได้ด้วย


fenghuang_china freebirdtour

fenghuang_china freebirdtour


ในช่วงเวลากลางคืนแสงไฟ และแสงจากโคมต่างๆก็เปลี่ยนเมืองเฟิ่งหวงให้มีสีสัน มีชีวิตชีวา ผู้คนเดินขวักไขว่บนถนนคนเดินที่ทอดยาวไปตามทาง ร้านขายของ ร้านอาหาร การแสดงเล็กๆ พร้อมเสียงเพลงครึกครื้น ตามหน้าร้านอาหารที่มีให้เห็นเป็นระยะเชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวเข้าไปลิ้มชิมรสชาติ สำหรับใครที่ชอบการล่องเรือเป็นชีวิต การได้มาล่องเรือในช่วงเวลากลางคืนก็ให้ความโรแมนติกไปอีกแบบ

เมืองโบราณเฟิ่งหวง(Fenghuang Ancient) ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก(UNESCO) ในวันที่ 28 มีนาคม 2008

 

11. เมือง Cochem ประเทศเยอรมนี

cochem_germany_freebirdtour

 

Cochem(ค็อคเคิม) เมืองเล็กๆในรัฐ Rhineland-Palatinate อยู่ทางตะวันตกของประเทศเยอรมนี ห่างจากเมืองแฟรงก์เฟิร์ต(Frankfurt) ประมาณ 170 กิโลเมตร เมืองCochem แม้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวที่ไปเยอรมนี แต่หากมีเวลาฟรีเบิร์ดทัวร์ก็คิดว่าเมืองนี้มีเสน่ห์ให้น่าแวะไม่น้อย

 

ไฮไลท์สำคัญของการเที่ยวเมืองCochem ก็คือ แม่น้ำโมเซล(Moselle) แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านเมืองและสร้างให้ Cochem เป็นเมืองที่ดูโรแมนติกเพิ่มมากขึ้น

 cochem_germany_moselle_river_reichsburg_castle_autumn_freebirdtour


แม่น้ำโมเซล(Moselle) สายนี้มีความยาวมากถึง 545 กิโลเมตร ไม่ได้ไหลผ่านแค่เมืองCochem เท่านั้นแต่มันยังไหลผ่านประเทศฝรั่งเศส(เมืองที่ไหลผ่าน Épinal, Toul, Pont-à-Mousson, Metz และ Thionville) , ประเทศลักเซมเบิร์ก(เมืองที่ไหลผ่าน Schengen, Remich, Grevenmacher และ Wasserbillig) และประเทศเยอรมนี(เมืองที่ไหลผ่าน Konz, Trier, Schweich, Bernkastel-Kues, Traben-Trarbach, Zell, Cochem และ Koblenz)

 

บางท่านที่มีโอกาสมาเที่ยวเยอรมนีมีเวลาเหลือหลายวัน และอยากจะจัดเส้นทางเที่ยวตามแนวของแม่น้ำโมเซล(Moselle) ที่ไหลผ่านก็สามารถทำได้ เพราะแต่ละเมืองของเยอรมนนีที่แม่น้ำโมเซล(Moselle) ไหลผ่านก็มีความน่าสนใจทุกเมือง จัดเป็นเส้นทางท่องเที่ยวชิมไวน์ ชมไร่องุ่น ชมสถาปัตยกรรม ปราสาท บ้านเรือน วิถีชีวิตริมน้ำก็น่าสนใจไม่น้อย แต่ครั้งนี้ freebirdtour ขอพาท่านมาแวะที่เมืองCochem กันก่อนนะคะ

 

cochem_town_moselle_valley_germany_freebirdtour

 

เมื่อมาถึงเมืองCochem สถานที่เที่ยวแรกที่นักท่องเที่ยวมักพุ่งตรงไปคือ ปราสาทไรชสบวร์ก(Reichsburg) หรือปราสาทค็อคเคิม(Cochem Castle) ปราสาทสไตล์นีโอ-โกธิค(Neo-Gothic) มีความเก่าแก่อายุกว่าพันปี ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาริมแม่น้ำโมเซล(Moselle) ความสวยงามของปราสาทที่ถูกห้อมล้อมด้วยสถาปัตยกรรมแบบโบราณของเมืองเก่าเพิ่มความสวยงามให้ปราสาทนี้ยิ่งขึ้น ด้านบนเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมองลงมาด้านล่างจะเห็นอาคารบ้านเรือนตั้งเรียงรายมีแม่น้ำแบ่งสองฝั่ง มีสะพานพาดผ่าน วิวด้านบนว่าสวยมาก แต่หากเราอยู่ด้านล่างแล้วมองขึ้นไปมีสายน้ำเป็นฉากหน้า กับความเขียวของต้นไม้ และพื้นที่ปลูกองุ่นที่ขึ้นอยู่ทั้งเนินเขาก็สวยไม่แพ้กัน ยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี หรือช่วงที่มีหมอกเบาๆความงามที่แปลกตาแบบนี้เห็นไม่ได้ในบ้านเรา ปราสาทไรชสบวร์ก(Reichsburg) ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยมไม่ว่าจะมองจากตรงไหนของเมืองเราก็จะได้เห็นปราสาทไรชสบวร์ก(Reichsburg) งามเด่นตลอดเวลา 

 

reichsburg_cochem_imperial_castle_rhineland_palatinate_germany_freebirdtour

cochem_castle_moselle_valley_germany_freebirdtour

cochem_imperial_castle_freebirdtour

cochem_imperial_castle__reichsburg_freebirdtour

 

จุดเด่นอีกอย่างของเมืองCochem ก็คือ สะพาน Skagerak Brucke จุดชมวิวเมืองที่สวยงาม ถ้าเราไปยืนอยู่กลางสะพานจะได้เห็นปราสาทReichsburg ตั้งตระหง่าน ยืนมองเพลินจนลืมเวลากันเลย ใกล้ๆกันมีสนามหญ้ากว้างให้เราได้นั่งปิกนิกจิบไวน์เงยหน้าชมปราสาทไรชสบวร์ก(Reichsburg) อย่างสบายใจ ละแวกเดียวกันมีท่าเรือบริการล่องเรือชมแม่น้ำMoselle แม่น้ำแห่งนี้เป็นแม่น้ำสายสำคัญไม่ใช่แค่สำคัญกับนักท่องเที่ยวในการนั่งเรือชมความงามของเมืองเท่านั้น แต่มันยังเป็นเส้นทางเดินเรือเพื่อการค้าต่างๆอีกด้วย


ย่านเมืองเก่า เป็นย่านที่มีความคึกคัก และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว บริเวณนี้จะเป็นที่รวมของบ้านเรือนหน้าจั่วครึ่งไม้สูงหลายชั้นสไตล์ half-timbered มีให้เห็นตั้งเรียงเป็นแนว และแทรกตัวอยู่ตามตรอกซอกซอย มีร้านค้า ร้านอาหาร ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปอุดหนุน

 half timbered germany freebirdtour

เป็นอย่างไรกันบ้างคะชอบเมืองนี้กันหรือเปล่า ฟรีเบิร์ดทัวร์ยืนยันได้เลยว่าเมืองCochem เป็นหนึ่งในเมืองสายน้ำที่น่ามาเยือนจริงๆ

 

12. เมืองฮิตะ(Hita) ประเทศญี่ปุ่น

hita japan

 

เที่ยวเมืองสายน้ำในยุโรปกันมาเยอะแล้วเราขอแวะไปเที่ยวในแถบเอเชียกันบ้าง เมืองที่ 12 นี้ ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ อยากจะพาไปคือเมืองฮิตะ(Hita) ในจังหวัดโออิตะ(Oita) บนเกาะคิวชู ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ที่นี่ได้ฉายาว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ เพราะเป็นเมืองที่มีทั้งแม่น้ำ น้ำตก และออนเซ็น จังหวัดโออิตะ(Oita) เป็นจังหวัดที่ขึ้่นชื่อเรื่องของออนเซ็นเป็นอันดับหนึ่งเลยทีเดียว เมืองฮิตะ(Hita) ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำใสสะอาด น้ำใสสะอาดขนาดที่ว่ามีบริษัทอาหารหลายแห่งมาใช้เมืองฮิตะ(Hita) เป็นแหล่งผลิตอาหารเพื่อต้องการใช้น้ำที่ใสสะอาด และเมืองฮิตะ(Hita) ก็ยังเป็นที่ตั้งของโรงหมักเบียร์ Sapporo Beer Factory(Kyushu Hita) , โรงกลั่นเหล้าสาเก Iichiko Hita Distillery รวมไปถึงโรงงานผลิตไวน์บ๊วย Okuhita Onsen Umeshuzo Oyama อีกด้วย

 

เมืองฮิตะ(Hita) เป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยภูเขา มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ฮิตะ(Hita) ตั้งอยู่ทางทิศเหนือติดกับแม่น้ำ Hanatsuki และทิศใต้ติดกับแม่น้ำ Mikuma

 

แม่น้ำมิคุมะ(Mikuma) ที่ไหลผ่านกลางเมืองนี้เราจะได้พบเห็นเรือยากาตะบูเนะ เรือสไตล์ญี่ปุ่นลำไม่ใหญ่ด้านนอกตกแต่งด้วยโคมไฟสีแดง ด้านในจัดเป็นโต๊ะนั่งทานอาหารปูด้วยเสื่อทาทามิ(Tatami) นั่งเรือทานอาหารชมบรรยากาศของสองฝั่งแม่น้ำมิคุมะ(Mikuma) นับเป็นบรรยากาศสุดโรแมนติกของการมาเยือนที่ฮิตะ(Hita) เลย

 

หากได้มาเยือนเมืองฮิตะ(Hita) ในช่วงฤดูร้อนก็ต้องไม่พลาดที่จะชม การจับปลาของนกกาน้ำ หรือเรียกว่า 'อุไก' การจับปลาของนกกาน้ำ เป็นวิธีการจับปลาพื้นบ้านที่มีมาแต่โบราณโดยใช้นกกาน้ำเป็นตัวจับปลาอายุ ปากของนกกาน้ำมีลักษณะเป็นจะงอยยาวและแหลม การจับปลาของนกกาน้ำจะเริ่มขึ้นในช่วงกลางคืน ชาวประมง หรือ 'อุโช' จะพานกกาน้ำที่เลี้ยงไว้ขึ้นเรือไปยังแม่น้ำที่เป็นแหล่งปลา มีการจุดคบไฟที่หัวเรือ จากนั้นจะปล่อยนกกาน้ำลงไปในแม่น้ำโดยใช้เชือกคล้องไว้ที่คอของนกกาน้ำแบบหลวมๆ นกกาน้ำจะใช้ปากในการจับปลา ปลาที่ตัวใหญ่จะไม่สามารถผ่านลำคอของนกกาน้ำได้นั่นจึงเป็นที่มาของปลาอร่อยๆที่มาถึงพวกเรานั่นเอง การจับปลาของนกกาน้ำ ในปัจจุบันเริ่มเห็นน้อยลงทุกที ในช่วงฤดูร้อนที่เมืองฮิตะ(Hita) ก็ยังมีเทศกาลที่น่าสนใจอย่างเทศกาลดอกไม้ไฟ ได้นั่งชมดอกไม้ไฟที่สว่างไสวอยู่ริมแม่น้ำ ทำให้แม่น้ำในยามค่ำคืนดูมีชีวิตชีวา

 

สำหรับคนที่ชื่นชอบการแช่ออนเซ็นที่ฮิตะ(Hita) ก็มีออนเซ็นให้เลือกใช้บริการมากมาย และต้องไม่พลาดกับประสบการณ์การแช่ออนเซ็นกลางแจ้งกับ อามากาเซะออนเซ็น(Amagase Onsen) เป็นออนเซ็นสาธารณะกลางแจ้งชื่อดังของจังหวัดโออิตะ(Oita) ที่นี่เป็นออนเซ็นรวมชายหญิง มีบริการให้เช่าชุดสำหรับลงแช่ออนเซ็นด้วย นั่งแช่ออนเซ็นสัมผัสกับบรรยากาศธรรมชาติพร้อมชมความสวยงามของแม่น้ำคุซุ(Kusu River) เป็นบรรยากาศที่ดีมากๆ

 

นอกจากนี้หากมาถึงเมืองฮิตะก็ต้องไปเดินเล่นย่าน Mamedamachi(มาเมดะมาจิ) ที่นี่ได้รับฉายาว่าเป็น Little Kyoto มาเมดะมาจิเป็นย่านเมืองเก่ามีบ้านไม้โบราณสมัยเอโดะที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีตั้งเรียงสองฝั่งถนน รวมทั้งมีโกดังเก่า ที่นี่มีทั้งบ้านคน พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวถึงวัฒนธรรมของท้องถิ่น ร้านค้าที่มีทั้งของกิน ของที่ระลึกมากมาย ของขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ รองเท้าเกี๊ยะ กระดิ่งเซรามิค รวมทั้งเหล้าบ๊วย หากอยากใส่ชุดกิโมโนมาเดินเล่นในย่านMamedamachi(มาเมดะมาจิ) ที่นั่นก็มีให้เช่า เมื่อเดินไปตามถนนเราก็จะไปถึงโรงกลั่นสาเก Kuncho Shuzo ตั้งอยู่ตรงแม่น้ำ Hanatsuki มีสาเกจำหน่าย และให้ลองชิม

 

เมืองฮิตะ(Hita) อาจไม่ใช่เมืองหลักของการมาเที่ยวแถบคิวชู หากมีเวลาก็ลองแวะไปดูก็ไม่เสียหาย Freebirdtour ให้ เมืองฮิตะ(Hita) เป็นหนึ่งใน 13 นครแห่งสายน้ำที่โรแมนติกระดับโลก

 

13. เมืองเวนิส(Venice) ประเทศอิตาลี

venice_italy_freebirdtour

 

ปิดท้ายด้วยเมืองที่ถูกอ้างถึงตลอดเวลา นั่นก็คือเมืองเวนิส(Venice) ประเทศอิตาลี นั่นเอง เวนิส(Venice) หรือเวเน็ตเซีย(Venezia) เป็นเมืองเจ้าแห่งฉายา ไม่ว่าจะเป็น เมืองแห่งสายน้ำ(City of Water) , เมืองแห่งสะพาน(City of Bridges), เมืองแห่งแสงสว่าง(The City of Light) รวมไปถึง ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก(Queen of the Adriatic) อะไรจะมีฉายาเยอะขนาดนั้น

สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วฟรีเบิร์ดทัวร์เชื่อว่าหากพูดถึงเวนิส(Venice) นักท่องเที่ยวต้องนึกถึง คลอง สะพาน เรือกอนโดลา(Gondola) ผู้ชายใส่เสื้อลายขวางสีดำสลับขาว ใส่หมวก ยืนแจวอยู่ท้ายเรือ เป็นแน่

เวนิส(Venice) เป็นเมืองที่มีคลองเล็กคลองน้อยอยู่มากมาย มีบ้านเรือนปลูกอยู่ตลอดสองฝั่งคลอง มีการใช้เรือเป็นเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง มีสะพานที่สูงพอให้เรือแจวผ่านไปได้ บรรยากาศของเวนิสจึงเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของคนท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวนิยมนั่งเรือกอนโดลา(Gondola) ล่องไปตามลำคลองหลักอย่างคลองแกรนด์คาแนล(Grand Canal) คลองสายหลักของเมืองที่ใช้เป็นช่องทางในการสัญจรไปมาทางน้ำ 


grand_canal_basilica_santa_maria_della_salute

venice_viennale_italy_freebirdtour


เรือกอนโดลา(Gondola) จะผ่านเข้าสู่คลองเล็ก คลองน้อย ชมวิถีชีวิตสองฝั่ง เพลิดเพลินกับสายน้ำ โรแมนติกจริงๆค่ะ คลิกอ่าน พาล่องเรือกอนโดล่า เสน่ห์แห่งเวนิส

 

Gondola venice_italy_freebirdtour


การมาเที่ยว เวนิส(Venice) นอกจากการนั่งเรืออนโดลา(Gondola) แล้ว ก็ยังมีสถานที่อื่นๆที่น่าสนใจอีก เช่น จัตุรัส Piazza San Marco เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเป็นจุดนัดพบสำคัญของคนมาเที่ยวเวนิส


piazza_san_marko_venice_italy

piazza_san_marko_venice_italy

doges_palace_campanile_piazza_di_san_marco_venice_italy


มหาวิหารเซนต์มาร์ค(Basilica di San Marco), หอระฆัง San Marco Campanile, หอนาฬิกา Torre dell'Orologio, พระราชวังปาลัซโซ่ดูกาเล(Palazzo Ducale), พิพิธภัณฑ์ Punta della Dogana เป็นต้น


Basilica di San Marco italy freebirdtour


ความสวยงามของ เวนิส(Venice) และบรรยากาศสุดโรแมนติก เชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาอย่างเนืองแน่นทุกปี เวนิส(Venice) นอกจากมีสถานที่สวยๆอย่างที่ฟรีเบิร์ดทัวร์ได้กล่าวไปแล้ว ที่นี่ก็ยังเป็นบ้านเกิดของ มาร์โค โปโล(Marco Polo) พ่อค้าวานิช นักสำรวจ ชื่อดังที่เรารู้จักเขามาตั้งแต่เรายังเป็นเด็กอีกด้วย เมื่อมาถึงเวนิสแล้วก็ต้องหาโอกาสมาในช่วงที่มีเทศกาลเวนิสคาร์นิวัลด้วยนะ ฟรีเบิร์ดทัวร์ พาเที่ยวเทศกาลเวนิสคาร์นิวัล สีสันที่อิตาลี 

อิตาลีนอกจากมีเมืองดังอย่างเวนิสแล้วก็ยังมีเมืองน่าเที่ยวอย่าง Sicily ส่องเมืองสวยไม่ซ้ำใครที่ควรไปเยือนสักครั้ง ที่น่าไปไม่แพ้กัน


เป็นอย่างไรกันบ้างคะ 13 เมืองแห่งสายน้ำ โรแมนติก และน่าเที่ยวขนาดไหน มีโอกาสต้องแวะไปสัมผัส ไปเดินเล่น ไปล่องเรือ เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆกันนะคะ สำหรับใครที่ชื่นชอบการเที่ยวโดยการนั่งเรือ ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ ก็มีเรือที่จะพาคุณล่องลอยไปตามแม่น้ำลำคลอง ชมความงามสองฝั่ง มาให้เที่ยวกันด้วย เคยนั่งไหม? 5 เรือฮิปๆสัมผัสชีวิตคนท้องถิ่น 

 

 

- 3 November 2021 -

สงวนสิทธิ์ในการคัดลอกบทความ และนำรูปภาพไปเผยแพร่ ท่านสามารถกดปุ่มเพื่อแชร์บทความนี้ได้ผ่านทางเวบไซต์นี้

 

         



 

- หากบทความนี้ดีต่อใจ ชวนคนที่คุณรักมาเที่ยวกับฟรีเบิร์ดทัวร์กันค่ะ -   

สนใจโปรแกรมทัวร์ต่างประเทศคลิกที่นี่ 

 

คุยกับครอบครัวฟรีเบิร์ดทัวร์

โทร.02-0488-785-7 Hotline 085-151-1000 , 094-782-6888 และ 093-570-3000

    instagramfreebirdtour  twitter freebirdtour  Youtube freebirdtour     

 


Visitors: 466,891