17 สถานที่ต้องห้ามพลาดเมื่อไปตุรกี

17 สถานที่ต้องห้ามพลาดเมื่อไปตุรกี | ทัวร์ยุโรป ทัวร์ตุรกี กับฟรีเบิร์ดทัวร์

 

ต้องไปนะสักครั้งในชีวิต....จะที่ไหนหล่ะ ...ก็ตุรกีนั่นไง...เพราะเที่ยวทีเดียวได้ไปสองทวีป...ค่าเงินก็ดี๊ดี....วีซ่าก็ไม่ต้องทำ...มีสิ่งมหัศจรรย์ของโลกให้ดู มีร่องรอยแห่งอารยธรรมให้สัมผัส มีแหล่งธรรมชาติให้ได้มอง มีของให้ซื้อเพียบ แถมราคาก็น่ารัก ผู้คนก็เป็นมิตร สุภาพสตรีชาวตุรกีก็น่ารัก ยิ่งเด็กตุรกีตาโตๆ แป๋วๆ โอ้ย!!!หลงอะ หลงรักทั้งคนตุรกี หลงรักทั้งสถานที่ต่างๆของตุรกี หลงรักผลไม้ตุรกี ทุกอย่างดีงามจริงๆนะเออ...และ 17 สถานที่ต้อมห้ามพลาดเมื่อไปถึงตุรกีก็คือ

 

 

1.สุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอิสตันบูล ประเทศตุรกี ต้องห้ามพลาดถ้ามาตุรกี สุเหร่าสีน้ำเงินมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสุเหร่าสุลต่านอาห์เมตที่ 1 (Sultan ahmet I) สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1609 – 1616 ว่ากันว่าแรงบันดาลใจของการสร้างสุเหร่าสีน้ำเงินแห่งนี้มาจากความต้องการเอาชนะความอลังการใหญ่โตของวิหารเซนต์โซเฟีย

 

ที่มาของชื่อสุเหร่าสีน้ำเงินนี้ก็มาจากกระเบื้องภายในที่ตกแต่งด้วยสีน้ำเงินฟ้าจากอิซนิค มีลวดลายเป็นดอกไม้ต่างๆตกแต่งอย่างสวยงามวิจิตรตระการตา เช่น กุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น 

 

ด้านในสุเหร่าสีน้ำเงินมีที่ให้สุลต่านและนางในทำละหมาด มีหน้าต่าง 260 บาน สนามด้านหน้าและด้านนอกจะเป็นที่ฝังศพของกษัตริย์และพระราชวงศ์ นอกจากนี้ยังมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆบริการให้กับประชาชนทั่วไป เช่น โรงเรียนสอนศาสนา ห้องสมุด โรงพยาบาล โรงอาบน้ำ ที่พักกองคาราวาน โรงครัว (Kulliye)

 

เมื่อเริ่มสร้างองค์สุลต่านรับสั่งให้สร้างหอสวดมนต์เป็นทองคำ แต่การสร้างหอทองคำนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงหาทางออกด้วยการเล่นคำเพราะคำว่าทองคำในภาษาตุรกี เรียกว่า อัลทึ่น (Altin) หรือ หก(Alti) เขาจึงสร้างหอสวดมนต์ 6 หอ  ซึ่งปกติมัสยิดจะมีหอสวดมนต์เพียง 1 หรือ 2 หอ แต่เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ที่นี่มีหอสวดมนต์ 6 หอเท่ากับที่นครเมกะซึ่งไม่เป็นการสมควร  จึงต้องสร้างเพิ่มขึ้นมาอีก 1 หอ ในปัจจุบันจึงมี 7 หอ นั่นเอง 

 

สุเหร่าจะสร้างให้มีหลังคาที่โค้งเพราะต้องการให้เสียงสวดมนต์ก้องกังวานได้ดี โดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องขยายเสียง ผู้สวดจะหันหน้าไปทางทิศที่เมืองเมกกะอยู่ และผู้ที่จะเข้าสวดมนต์ต้องชำระล้าง 6 จุดก่อน คือ ผม หน้า จมูก ปาก มือ และเท้า

 

สุเหร่าสีน้ำเงินอยู่ใกล้ๆกับสุเหร่าเซนต์โซเฟีย โดยหันหน้าเข้าหากัน เรียกว่าประชันความงามกันเลยทีเดียวค่ะ

 

 

 

2.สุเหร่าเซนต์โซเฟีย หรือวิหารเซนต์โซเฟีย (Mosque of Hagia Sophia)

เซนต์โซเฟีย แปลว่า โบสถ์แห่งปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ คำว่า "Sofia" มาจากคำในภาษากรีกที่แปลว่า "ปัญญา" จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับนักบุญที่ชื่อSofiaแต่อย่างใด

เซนต์โซเฟียนับเป็นสิ่งก่อสร้างจากฝีมือมนุษย์ที่มีความสวยงามอลังการตั้งอยู่ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) หรือปัจจุบันคือกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี สุเหร่าแห่งนี้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกลำดับที่ 8 ในยุคกลาง สร้างในสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียน แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์

สิ่งก่อสร้างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้เป็นโบสถ์หลังที่สามที่จักรพรรดิจัสติเนียนได้ตัดสินใจสร้างให้ยิ่งใหญ่และสวยงามกว่าโบสถ์หลังก่อน ๆ โดยเริ่มสร้างในปี 532 แล้วเสร็จในปี 537 และทำซ้ำอีกครั้งในปี 563 หลังการซ่อมแซมยอดโดมที่พังลงมาเพราะเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้เกิดรอยแตกในโดมหลักที่พังมาทั้งหมด และโดมทางด้านตะวันออก อ่านเรื่องราวของวิหารเซนต์โซเฟียได้ที่นี่ และชมคลิปได้ที่นี่

 

 

3.ฮิปโปโดรม (Hippodrome) หรือจัตุรัสสุลต่านอะห์เมต (Sultanahmed Complex) ในอดีตเป็นลานแข่งม้าและเป็นศูนย์กลางของเมืองในยุคไบแซนไทน์ ตั้งอยู่ในกรุงอิสตันบูล

ปัจจุบันเหลือความยิ่งใหญ่ไว้เพียงเสาโบราณ 3 ต้น คือ เสาโอเบลิสก์แห่งกษัตริย์เธโอโดเชียส (Theodosius Obelisk) , เสางู (Bronze Serpentine Coluumn) , เสาคอนสแตนติน (Column of Constantine) 

เสาโอเบลิสก์แห่งกษัตริย์เธโอโดเชียส (Theodosius Obelisk) นั้นเป็นเสารูปทรงสี่เหลี่ยมมีฐานกว้างแล้วค่อย ๆ เรียวยาวขึ้นไปเป็นยอดแหลม

เสางู (Bronze Serpentine Column) เป็นเสาบรอนซ์แกะลวดลายงูสามตัวพันเกี่ยวกันอยู่ เสารูปงู แรกเริ่มสูง 8 เมตร แต่เกิดชำรุดเสียหาย ปัจจุบันสูงแค่ 5 เมตร เป็นเสาแบบกรีกที่เก่าแก่ที่สุดในอิสตันบูล

เสาคอนสแตนติน (Column of Constantine) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1483 แต่เดิมเสานี้เคลืบด้วยบรอนซ์ แต่ในช่วงสงครามครูเสดได้ถูกศัตรูหลอมเอาบรอนซ์ออกไป ปัจจุบันเหลือเพียงแค่เสาปูนเท่านั้น

 

 

 

4.อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน (Yerebatan Sarnici) อยู่เยื้องๆกับวิหารเซนต์โซเฟีย สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.532 ในสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อเป็นที่กักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในพระราชวัง สำรองไว้ใช้ยามอิสตันบูลถูกข้าศึกปิดล้อมเมือง อุโมงค์แห่งนี้จุน้ำได้ทั้งหมด 80,000 ลูกบาศก์เมตร น้ำที่ได้ส่งผ่านท่อมาจากแหล่งน้ำที่อยู่ห่างออกไป 20 กิโลเมตร ใกล้กับทะเลดำ 

เสาที่ค้ำยันหลังคาอยู่เป็นศิลปะแบบคอรินเทียนของโรมัน มีจำนวน 336 ต้น สูงต้นละ 9 เมตร เรียง 12 แถวๆละ 28 ต้น ในพื้นที่ยาว 142 เมตร กว้าง 65 เมตร 

ในปี ค.ศ. 1453 หลังกรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกอาณาจักรออตโตมันตีแตก อุโมงค์แห่งนี้ได้ถูกทิ้งร้างเป็นเวลายาวนานกว่าร้อย ต่อมาในปี ค.ศ. 1545 ชาวฝรั่งเศสชื่อ Petrus Gyllius ได้เป็นผู้ค้นพบอุโมงค์นี้ทางการตุรกีจึงได้ใช้อุโมงค์นี้เป็นที่กักเก็บน้ำอีกครั้ง

ภายในมีทางเดินเป็นปูนให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมท่ามกลางบรรยากาศสลัวๆ ด้านในนี้มีต้นเสาที่เป็นไฮไลต์อยู่สามจุด คือ เสาที่สลักเป็นรูปดวงตาปีศาจ เสาที่มีหัวของเมดูซา(Medusa) กลับหัว  และอีกเสาหนึ่งคือหัวเมดูซาตะแคงขวา สาเหตุที่จัดให้ตะแคงขวางนั่นก็เพราะเป็นเคล็ดไม่ให้เมดูซาไปมองใครแล้วจะกลายเป็นหิน แต่จะให้อยู่เฝ้าอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ตลอดไปนั่นเอง 

 

 

5.พระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace) สร้างขึ้นในสมัยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 หรือ เมห์เมตผู้พิชิต ภายหลังที่ตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้แล้ว ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรออตโตมัน จึงโปรดให้มีการสร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นเป็นที่ประทับอย่างถาวร พระราชวังแห่งนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กินเนื้อที่เกือบ 700,000 ตารางเมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงตามแนวฝั่งทะเลมาร์มาร่า ภายในพระราชวังทอปกาปึเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ใช้เก็บสมบัติอันล้ำค่า เช่น เพชร 96 กะรัต กริชทองประดับมรกต เครื่องลายครามจากจีน หยก มรกต ทับทิม และเครื่องทรงของสุลต่านในแต่ละยุคสมัย 

 

 

6.ช่องแคบบอสฟอรัส (Bosporus Strait) เป็นช่องแคบขนาดใหญ่ ช่องแคบนี้ทำหน้าที่แบ่งเส้นระหว่างยุโรปและเอเชีย ที่เชื่อมระหว่างทะเลมาร์มาร่า(Sea of Marmara) และทะเลดำ(The Black Sea) มีความยาวโดยประมาณ 32 กิโลเมตร หากเราไปเที่ยวกับบริษัททัวร์เราจะได้ล่องเรือชมวิว และกินบรรยากาศอันสวยงาม จุดชมวิวที่สำคัญ คือ สะพานแขวนบอสฟอรัส สะพานที่รถยนต์จะใช้วิ่งข้ามฝั่งไปมาระหว่างยุโรปและเอเชียได้ สะพานนี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1973 มีความยาวทั้งสิ้น 1,560 เมตร

 

 

7.พระราชวังโดลมาบาเช่ (Dolmabahce Palace)  บริเวณที่ตั้งของพระราชวังโดลมาบาเช่ เป็นอ่าวที่มีรูปร่างตามธรรมชาติเหมือนท่าเทียบเรือ มีเรื่องเล่าว่าสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 (เมห์เหม็ดผู้พิชิต) เคยลากเรือรบบนทางไม้จากสถานที่แห่งนี้ไปจนถึงโกลด์เด้นฮอร์น อ่าวซึ่งเป็นที่ทอดสมอของกองทัพเรือของจักรวรรดิ์ออตโตมัน และเป็นสถานที่จัดพิธีต่างๆที่เป็นธรรมเนียมของกองทัพเรือ 

พระราชวังโดลมาบาเช่ เริ่มก่อสร้างในสมัยศตวรรษที่ 17 โดยได้รับการขนานนามว่า "โดลมาบาเช่" และถูกใช้เป็นสวนสำหรับราชวงศ์ สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในบริเวณพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นก่อนศตวรรษที่ 19 นั้นถูกเรียกว่า "ฺBesiktas Shore Palace" 

ในสมัยของสุลต่านอับดุลเมซิด (ค.ศ.1839-1861) พระราชวัง "ฺBesiktas Shore Palace"  ถูกมองว่าไร้ประโยชน์ จึงได้มีการรื้อถอนและสร้างพระราชวังโดลมาบาเช่ขึ้นมาแทน ในการก่อสร้างโดลมาบาเช่ นั้นสถาปนิกหลวงคือ Karabet Balyan,Ohannes Serveryan,Nikogos Balyan และ James William Smith ได้มีส่วนในการสร้างพระราชวังนี้ โดยได้มีการมอบหมายให้ Haci Said Aga (ในช่วงปี 1843-1850) และ Esseyid Ali Sahin Bey (ในช่วงปี 1850-1856) เป็นผู้ดูแลก่อสร้าง

พระราชวังแห่งนี้เริ่มใช้เป็นที่ประทับตั้งแต่ปี 1856 และมีสุลต่านประทับที่พระราชวังแห่งนี้จำนวน 6 พระองค์ และกาหลิบองค์สุดท้าย ซึ่งได้แก่ สุลต่านอับดุลเมซิต (1839-1856) สุลต่านอับดุลอะซีซ (1861-1876) สุลต่านมูรัดที่ 5 (1876) สุลต่านอับดุลฮามิดที่ 2 (1876-1909) สุลต่านเมห์เหม็ด ริชาดที่ 5 (1909-1918) สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 6 วาติติน (1918-1922) และเกาหลิบองค์สุดท้าย อับดุลเมซิต (1922-1924) 

หลังจากที่ได้เปลี่ยนเป็นระบบสาธารณรัฐ มุสตาฟส เคมาล อตาเติร์กได้พำนักชั่วคราวอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้ 4 ปี ระหว่างปี 1927-1938 เขาได้ใช้พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ศึกษาทำงานและได้เสียชีวิตลงที่นี่ พระราชวังแห่งนี้ถูกใช้เป็นบ้านพักประธานาธิบดีในสมัยของประธานาธิบดี อิสเมห์ อินโนเนอ จนถึงปี 1949 ได้เปิดให้ประชาชนได้เข้าชมในฐานะพิพิธภัณฑ์พระราชวัง โดยยังคงการตกแต่งแบบดั้งเดิมในปี 1984 

นอกเหนือไปจากอาคารหลักของพระราชวังที่สร้างขนานไปกับช่องแคบบอสฟอรัสแล้ว พระราชวังโดลมาบาเช่ยังประกอบไปด้วยกลุ่มอาคารหลากหลายแผนกด้วยกัน เช่น โรงงานเครื่องแก้ว โรงหลอม กรงนกขนาดใหญ่ คอกม้า และสถานที่สำหรับการใช้งานเฉพาะด้านต่างๆ ในกลุ่มอาคารนี้ยังมีพื้นที่ส่งพระองค์ของมกุฏราชกุมาร รวมไปถึงหอนาฬิกาและ Departure Kiosks ซึ่งเป็นบ้านไม้ที่อยู่ในสวนด้านหลังของวังมกุฏราชกุมาร ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสุลต่านอับดุลอะซีซที่ 2 (1876-1909)

โครงสร้างหลักของพระราชวังประกอบด้วยอาคารสองชั้นแบบทั่วไป มีหนึ่งห้องใต้หลังคา และหนึ่งห้องใต้ดิน ห้องด้านในพระราชวังได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนของกิจการงานบริหารใช้เป็นที่พูดคุยปรึกษากิจการงานของประเทศ ส่วนฮาเร็มซึ่งเป็นส่วนของสุลต่านและครอบครัวพักอาศัยอยู่ และส่วนห้องโถงใหญ่ซึ่งสุลต่านใช้จัดงานพระราชพิธีสำคัญๆ รวมถึงใช้จัดงานในวันสำคัญทางศาสนาและงานประเพณีสำคัญ 

พระราชวังโดลมาบาเช่ มีห้องทั้งหมด 285 ห้อง 44 ห้องโถง 68 ห้องสุขา และ 6 ห้องอาบน้ำ ตัวอาคารสร้างด้วยเสาหินทั้งหมด ถือว่าเป็นพระราชวังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศตุรกี ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 14,595 เมตร แต่ละส่วนของพื้นที่ได้มีการใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่

พระราชวังแห่งนี้ได้รับการออกแบบที่มีห้องโถงเป็นส่วนกลางและรายล้อมไปด้วยห้องอื่นๆ อันเป็นการออกแบบแบบดั้งเดิมของตุรกีไม่ว่าจะเป็นในด้านการใช้งานและสถาปัตยกรรม ศิลปะจากประเทศตะวันตกไม่ว่าจะเป็น บารอค รอคโคโค นีโอคลาสิค ก็ได้ถูกนำมาใช้ในการออกแบบอย่างมากเช่นกัน ดังนั้นการออกแบบและวัฒนธรรมออตโตมันดั้งเดิมได้ถูกหลอมเข้ากับแนวคิดแบบตะวันตก ซึ่งทำให้เกิดรูปแบบศิลปะแนวใหม่นั่นเอง (ข้อมูลจากแผ่นปชส.พระราชวังโดลมาบาเช่)

ด้านในสวยมากๆ แต่เสียดายไม่ให้ถ่ายรูปนะคะ เวลาเปิดปิดของพระราชวังโดลมาบาเช่คือเปิดทำการทุกวันยกเว้นวันจันทร์ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น.

 

 

8.กรุงทรอย (Troy) เมืองเก่าแก่ในตำนาน เมืองแห่งนี้หลังจากกลายเป็นอดีตมาหลายศตวรรษ ก็ได้ถูกค้นพบในปี พ.ศ.2413 โดย ไฮน์ริช ชลีมานน์(Heinrich Schliemann) นักโบราณคดีชาวเยอรมันได้เป็นผู้บุกเบิกขุดพบซากเมืองโบราณขึ้นซึ่งก็คือเมืองทรอยนี่เอง เป็นซากเมืองโบราณที่มีพื้นที่ติดกับทะเลอิเจียนตอนบน และอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตุรกีใกล้กันมีช่องแคบ "ดาร์คาแนลล์" (Dardanelles) และ "คาบสมุทรกัลลิโปลี" (Gallipoli) จากนั้นไฮน์ริชก็ใช้เวลา 20 ปีถัดมาในการขุดค้นเพิ่มเติมและศึกษาความเป็นมาของซากเมืองแห่งนี้ จนพบว่าทรอยนั้นแบ่งออกเป็น 9 ยุค นับตั้งแต่เมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ทั้งหมดนี้ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้โฮเมอร์สร้างสรรค์ผลงานการเขียนที่โด่งดังก้องโลกอย่างมหากาพย์อิเลียดและโอดิสซีย์ 

ม้าไม้เมืองทรอย (Wooden Horse of Troy) นับเป็นกลยุทธ์หนึ่งทางการทหารที่ชาญฉลาด และเป็นเหตุให้เมืองทรอยพ่ายแพ้แก่กรีก จึงกลายเป็นเรื่องราวที่โจษจัน และโด่งดังไปทั่วโลก และได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองทรอยตั้งแต่น้นเป็นต้นมา

 

 

9.อะโคโปลิส (Acropolis,Akropolis) อะโครโปลิสเป็นสถานที่ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นเหมือนดินแดนในเทพนิยาย  อะโครโปลิส แปลว่า นครบนที่สูง ซึ่งเป็นโครงสร้างฐานในการป้องกันเมืองของอาณาจักรกรีกและโรมัน ซึ่งผู้ตั้งถิ่นฐานในสมัยนั้นมักเลือกที่สูง ที่ด้านหนึ่งเป็นเนินเขาอีกด้านหนึ่งเป็นผาชัน และกลายเป็นศูนย์กลางของมหานครใหญ่ 

การจะได้ขึ้นไปเห็นซากอารยธรรมเหล่านี้เราต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปใช้เวลาประมาณ 5 นาที ไฮไลท์ของที่นี่คือโรงละครที่ชันที่สุดในโลก ว่ากันว่าสามารถจุผู้ชมได้มากถึง 10,000 คน เลยทีเดียวค่ะ

 

 

10.บ้านพระแม่มารี (House of Virgin Mary) ตั้งอยู่ในอิสเมียร์ (Izmir) ประเทศตุรกี เชื่อกันว่าที่นี่เป็นที่สุดท้ายที่พระแม่มารีมาอาศัยอยู่ และสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้ ถูกค้นพบอย่างปาฏิหาริย์ โดยแม่ชีตาบอดชาวเยอรมันชื่อ แอนนา แคเทอรีน เอมเมอริช (Anna Catherine Emmerich) เมื่อปี ค.ศ. 1774-1824 โดยการฝันเห็นบ้านของพระแม่มารี จากนั้นได้มีการสืบเสาะค้นหาบ้านหลังนี้จนพบในที่สุดในปี ค.ศ. 1891 แรกที่พบนั้น บ้านหลังนี้ หลังคาพังลงมาและมีรูปเคารพของพระแม่มารีอยู่ใกล้ๆ

บ้านที่ได้รับการบูรณะนี้เป็นบ้านอิฐชั้นเดียว มี 2 ห้อง ภายในมีรูปปั้นของพระแม่มารี ว่ากันว่าพระสันตปาปา โป๊ปเบเนดิกส์ที่ 16 เคยเสด็จเยือนที่นี่ด้วย เราสามารถเข้าไปจุดเทียนอธิษฐานได้ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพที่ด้านใน ที่ด้านนอกเราจะเห็นกำแพงเป็นช่องๆมีก๊อกน้ำอยู่หลายก๊อก เชื่อว่าเป็นก๊อกน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องสุขภาพ ความร่ำรวย และความรัก คนก็นิยมมาเปิดดื่มกันค่ะ ใกล้ๆกันจะเป็น Wishing Wall หรือกำแพงอธิษฐาน เราสามารถเขียนคำอธิษฐานของเราใส่กระดาษหรือผ้าแล้วนำไปผูกไว้ได้

 

 

11.เมืองโบราณเอฟฟิซุส (City of Ephesus) ตั้งอยู่ที่เมืองอิซเมียร์ (Izmir) อยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 50 กิโลเมตร ในอดีตที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงแห่งเอเชียของอาณาจักรโรมัน 

เมืองเอฟฟิซุส นับเป็นเมืองโบราณที่มีการบำรุงรักษาไว้เป็นอย่างดีที่สุดเมืองหนึ่ง ในอดีตเคยเป็นเมืองที่รุ่งเรืองและมั่งคั่งที่สุดในเเถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และรุ่งเรืองถึงขีดสุดอีกครั้งภายใต้การปกครองของโรมัน สิ่งก่อสร้างต่างๆที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบันและเป็นไฮไลท์ คือ โรงละครโบราณ(Great Theatre) ว่ากันว่าสามารถจุผู้ชมได้ถึง 25,000 คน และอีกหนึ่งไฮไลท์คือหอสมุดเซลซุส(Library of Celsus) ที่เหลือให้เห็นเฉพาะด้านหน้าแต่เป็นที่รวมของนักท่องเที่ยวที่ต่างมาถ่ายรูปที่นี่กันอย่างคึกคัก

 

 

12.ปามุคคาเล่ (Pamukkale) ที่นี่นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เมื่อมาถึงตุรกีต้องห้ามพลาด ปามุคคาเล่ ในภาษาตุรกี หมายถึง ปราสาทปุยฝ้าย Pamuk หมายถึง ปุยฝ้าย Kale หมายถึง ปราสาท  ปามุคคาเล่เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดินที่มีอุณหภูมิประมาณ 35  องศาเซลเซียส ซึ่งมีแร่หินปูนผสมอยู่ในปริมาณที่สูงมากไหลลงมาจากภูเขาคาลดากึ ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือ แล้วเอ่อล้นขึ้นมาเหนือผิวดิน และทำปฏิกิริยาจับตัวแข็งเกาะกันเป็นริ้ว เป็นแอ่ง เป็นชั้น ลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศเกิดเป็นปฏิมากรรมธรรมชาติ อันสวยงามแปลกตาและโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์

ปามุคคาเล่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมในปี ค.ศ.1988

 

 

13.คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ดินแดนที่มีภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์แปรสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก เนินเขา กรวยหิน และเสารูปทรงต่างๆที่งดงาม คัปปาโดเกีย เป็นชื่อเก่าแก่ภาษาฮิตไทต์ (ชนเผ่ารุ่นแรกๆที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้) แปลว่า ดินแดนม้าพันธุ์ดี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของตุรกี เป็นพื้นที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเออซิเยส และภูเขาไฟฮาซาน เมื่อประมาณ 3 ล้านปีที่แล้ว เถ้าลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายทั่วบริเวณจนทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมาจากกระแสน้ำ ลม ฝน แดด และหิมะกัดเซาะกร่อนกินแผ่นดินภูเขาไฟไปเรื่อยๆนับแสนนับล้านปีจนเกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวง  ที่เต็มไปด้วยหินรูปแท่ง กรวย ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรงดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยายจนผู้คนในพื้นที่เรียกขานกันว่า "ปล่องไฟนางฟ้า"  ในปี ค.ศ.1985 ยูเนสโกได้ประกาศให้ที่นี่เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งแรกของตุรกี

 

 

14.นครใต้ดินไคมัคลี (Underground City of Derinkuyu or Kaymakli) ที่นี่เกิดจากการขุดเจาะพื้นดินลงไป 10 กว่าชั้น เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากข้าศึกศัตรูใต้ดินไคมัคลีมีชั้นล่างที่ลึกที่สุดถึง 85 เมตร ภายในเมืองใต้ดินไคมัคลีแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องโถง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องถนอมอาหาร ห้องครัว โบสถ์ ทางหนีฉุกเฉิน เป็นต้น

 

 

15.พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ (Goreme Open Air Museum) ที่นี่เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ.9 ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาโดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์ และยังเป็นการป้องกันการรุกรานของชนเผ่าลีทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์ ที่นี่จะมีโบสถ์บาร์บารา (St.Barbar Church) ,โบสถ์มังกร (Snake Church) และโบสถ์แอปเปิ้ล (Apple Church)

 

 

16. ตลาดสไปซ์ มาร์เกต (Spice Market)  เมืองอิสตันบูล  ประเทศตุรกี หรือตลาดเครื่องเทศ ตั้งอยู่ใกล้สะพานกาลาตา ตลาดสไปซ์ มาร์เก็ตเป็นตลาดในร่มอยู่ภายใต้หลังคา เส้นทางเดินในตลาดเป็นรูปตัวแอล ทางเข้าตลาดสไปซ์ มาร์เก็ต มี 3 ทาง ตลาดสไปซ์ มาร์เก็ต มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในอิสตันบูลรองมาจากตลาดแกรนด์บาร์ซาร์ สินค้าขึ้นชื่อของตลาดสไปซ์ มาร์เก็ตจะเป็นพวกเครื่องเทศ ถั่วชนิดต่างๆ รังผึ้ง ผลไม้อบแห้ง น้ำมันมะกอก ชาผลไม้ทั้งชาแอปเปิ้ล ชาทับทิม กาแฟ ขนมเตอร์กิชดีไลท์  ของที่ระลึก เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย ราคาของในตลาดต่อรองได้นิดหน่อย ด้านนอกของตลาดก็มีร้านค้าเรียงเป็นตึกแถวให้เราออกมาเลือกซื้อของกันได้อีกทางหนึ่ง ตลาดสไปซ์ มาร์เก็ต หรือตลาเครื่องเทศ เปิดวันจันทร์-วันเสาร์ เวลา 08.30 - 18.30 น.

 

 

17.ตลาดแกรนด์ บาซาร์ (Grand Bazaar) สถานที่ช้อปปิ้ชื่อดังของตุรกี แกรนด์ บาซาร์เป็นตลาดในร่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอิสตันบูล มีร้านค้าให้เราเลือกช้อปมากกว่า 4,000 ร้าน สินค้าที่ขายในตลาดแกรนด์ บาซาร์ แห่งนี้มีทั้ง พรม โคมไฟ เสื้อผ้า เครื่องหนัง เครื่องประดับ เซรามิค ของที่ระลึกต่างๆ ราคาก็ไม่ธรรมดา อย่างไรก็ลองต่อรองดูนะคะ

 

 

ตุรกีน่าเที่ยวเพราะตุรกีเป็นประเทศที่มีพื้นที่อยู่ใน 2 ทวีป ทั้งทวีปยุโรป และทวีปเอเชีย เราจะได้เที่ยวแบบผสมผสานให้อารมณ์ทั้งเอเชียและยุโรปนั่นแหล่ะ

ฝั่งทวีปเอเชียนั้นเราจะเรียกกันว่า 'อนาโตเลีย' (Anatolia) ส่วนพื้นที่ทางฝั่งยุโรปจะเรียกว่า 'เทรซ' (Thrace) โดยมีช่องแคบบอสฟอรัส ทะเลมาร์มะรา และช่องแคบดาร์ดาเนล เป็นตัวแบ่ง เมื่อเราเที่ยวฝั่งเอเชียฝั่งนี้ก็จะเต็มไปด้วยอารยธรรมเก่าแก่ ส่วนทางฝั่งยุโรปก็จะเต็มไปด้วยความเจริญทันสมัย

 

ตุรกีเป็นแหล่งรวมอารยธรรมเก่าแก่ และเต็มไปด้วยความทันสมัย ปัจจุบันตุรกีจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกประเทศที่คนไทยนิยมไป ไปเที่ยวตุรกีไม่ยากค่ะไม่ต้องขอวีซ่า แค่หาโปรแกรมทัวร์ตุรกีแบบเหมาะๆโดนๆ เท่านี้ก็เก็บกระเป๋าออกเดินทางไปเที่ยวตุรกีได้แล้ว

 

ไปเที่ยวตุรกีช่วงไหนดี

ตุรกีเป็นประเทศที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปีเลยสะดวกช่วงไหนก็ไปช่วงนั้นแต่ละช่วงหรือแต่ละฤดูของตุรกีนั้นเป็นอย่างไรบ้าง คลิกอ่าน เที่ยวตุรกีช่วงไหนดี

 

ไปเที่ยวตุรกีกินอาหารอะไร

สำหรับใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวตุรกีแล้วกังวลเรื่องอาหารการกิน ฟรีเบิร์ดทัวร์ขอบอกว่าไม่ต้องกังวลไปนะจ๊ะ อาหารตุรกีกินได้และยิ่งไปกับทัวร์สบายใจหายห่วง คลิกอ่าน 8 เมนูห้ามพลาดเมื่อไปตุรกี


ไปเที่ยวตุรกีมีของฝากอะไร

เราชอบตุรกีนะเพราะช่วงหลายปีมานี้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตุรกีดีงามมากทำให้เราช้อปปิ้งได้อย่างมีความสุข ว่าแต่ไปเที่ยวตุรกีทั้งทีมีของอะไรน่าซื้อกลับมาฝากคนที่บ้านบ้าง คลิกอ่านช้อปอะไรในตุรกี

 

สำหรับโปรแกรมทัวร์ตุรกีก็มีให้เลือกมากมาย เช่น ทัวร์ตุรกีโปรแกรม Wow Turkey , ทัวร์ตุรกีโปรแกรม Discover Turkey , ทัวร์ตุรกีโปรแกรม ม้าไม้เมืองทรอย(Troy) , ทัวร์ตุรกีโปรแกรม Luxury Riviera Turke , ทัวร์ตุรกีโปรแกรม แกรนด์ตุรกี ,ทัวร์ตุรกีโปรแกรม ลาเวนเดอร์ , ส่วนระยะเวลาก็เลือกตามที่สะดวก อาจเป็นทัวร์ตุรกี 8 วัน ,ทัวร์ตุรกี 9 วัน ,ทัวร์ตุรกี 10 วัน , มีทั้งแบบทัวร์ตุรกีบินตรง เลือกบินในสายการบินที่ชอบ เช่น ทัวร์ตุรกีบินเตอร์กิช แอร์ไลน์  หรือทัวร์ตุรกีบินเอมิเรต แอร์เวย์  สำหรับคนที่มีวันหยุดน้อยๆก็ลองเลือกช่วงเวลาที่ติดเทศกาล เช่น ทัวร์ตุรกีช่วงปีใหม่ ทัวร์ตุรกีช่วงสงกรานต์ ทัวร์ตุรกีช่วงตรุษจีน เป็นต้นค่ะ

 

สนใจโปรแกรมทัวร์ตุรกีแบบไหนก็เลือกได้เลยค่ะ หรือจะทำเป็นทัวร์ตุรกีกรุ๊ปเหมา,ทัวร์ตุรกีแบบกรุ๊ปส่วนตัว แพคเกจทัวร์ตุรกี ก็สามารถติดต่อเราได้ บริษัท ฟรีเบิร์ด ทราเวิล แอนด์ ทัวร์ จำกัด


 

 


 

- หากบทความนี้ดีต่อใจ ชวนคนที่คุณรักมาเที่ยวกับฟรีเบิร์ดทัวร์กันค่ะ -

สนใจโปรแกรมทัวร์ตุรกีคลิกที่นี่

 

 

คุยกับครอบครัวฟรีเบิร์ดทัวร์

โทร.02-0488-785-7 Hotline 085-151-1000 , 094-782-6888 และ 093-570-3000
    instagramfreebirdtour  twitter freebirdtour  Youtube freebirdtour     


Visitors: 461,403